โภชนาการเด็กวัยหัดเดิน: 8 เทคนิคแก้ปัญหา “ลูกกินยาก” วัย 1 ปีขึ้นไป
คำถามที่พบบ่อย
ทำไมลูกวัย 1 ขวบ ควรเริ่มกินอาหารเป็นชิ้น (Finger Foods)?
อาหารเป็นชิ้น หรือ Finger foods คืออาหารชิ้นเล็ก นุ่ม ที่ลูกสามารถหยิบจับและบดเคี้ยวด้วยเหงือกหรือฟันได้ง่าย การให้ลูกเริ่มกิน Finger foods มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเด็กวัยหัดเดิน เพราะช่วยส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ผ่านการสำรวจผิวสัมผัส รสชาติ และรูปร่างของอาหารด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อการกินให้แก่ลูกน้อย และส่งเสริมการ ฝึกกินด้วยตัวเอง (Self-feeding) อาหารที่เหมาะสมสำหรับทำ Finger foods ได้แก่ ผลไม้ เช่น กล้วยสุก มะม่วง หรือกีวี และผักที่ต้มสุก เช่น มันฝรั่ง มันเทศ หรือฟักทองต้มค่ะ
ถ้าลูกไม่ยอมกินผักเลย จะทำอย่างไรดี?
หากลูกไม่ยอมกินผัก ให้ลองเลือก ผักตามฤดูกาล มาประกอบอาหารเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีและมีสารอาหารสูง จากนั้นใช้วิธี 'ปน' ผักเข้ากับอาหารหรือผลไม้ ที่ลูกชอบเพื่อสร้างรสชาติที่แปลกใหม่และกินง่ายขึ้น เช่น ผสมมันเทศบดกับแอปเปิลบด แต่ถ้าลูกยังคงปฏิเสธและคุณแม่กังวลว่าลูกจะขาดวิตามิน ควรปรึกษา กุมารแพทย์หรือนักโภชนาการ เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมในการดูแลโภชนาการของลูกต่อไปค่ะ
การปล่อยให้ลูกเล่นของเล่นระหว่างกินข้าว ผิดหรือไม่?
การใช้ของเล่นหรือการเปิดทีวีเพื่อหลอกล่อให้ลูกกินข้าว ไม่แนะนำอย่างยิ่งค่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้จะดึงความสนใจของลูกออกจากมื้ออาหาร ทำให้ลูก ไม่จดจ่อกับการกิน และเรียนรู้ที่จะไม่สนใจสัญญาณความอิ่มของตัวเอง
วิธีที่ดีที่สุดคือการฝึกวินัยว่า เวลากินก็อยู่กับการกินเท่านั้น เมื่อกินเสร็จแล้วถึงจะให้ไปทำกิจกรรมอื่นต่อได้ ซึ่งเป็นการ สร้างนิสัยที่ดี ในการกินให้กับลูกค่ะ
สรุป
- ช่วงวัยหัดเดินเป็นช่วงสำคัญของ โภชนาการเด็ก ที่ลูกน้อยจะสามารถเริ่มทานอาหารที่มีเนื้อสัมผัสที่หลากหลายขึ้น เพื่อฝึกทักษะการเคี้ยว การกลืน และการหยิบจับ อาหารที่แนะนำคือ ผักต้มสุก หรือ ผลไม้เนื้อนุ่ม ที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
- เพื่อให้ลูก เด็กวัยหัดเดิน เติบโตอย่างเต็มที่และมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ โภชนาการเด็ก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่ควรใส่ใจ โดยจัดอาหารให้ครบ 5 หมู่ วันละ 4-6 มื้อ รวมมื้ออาหารว่าง เน้นสารอาหารสำคัญ เช่น ข้าว โปรตีน ไขมัน ผักผลไม้ และดื่มนมจืด 2-3 แก้วต่อวัน เพื่อให้ได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
- การดูแล โภชนาการเด็กวัยหัดเดินที่กินยาก คุณแม่ไม่ควรบังคับให้ลูกกินอาหารที่ไม่คุ้นเคย กลิ่นแรง หรือมีเนื้อสัมผัสที่เคี้ยวยาก เช่น ผักที่มีเสี้ยนหรือเนื้อเหนียว ควรเริ่มต้นด้วยอาหารที่กินง่าย และมีเนื้อสัมผัสนุ่มเนียน เช่น ฟักทองนึ่ง ที่สำคัญที่สุดคือการ ดัดแปลงอาหารให้มีสีสันน่ากิน ลองจัดจานเป็นรูปทรงที่ลูกชื่นชอบ เช่น การ์ตูน สัตว์ หรือตัวละครต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและกระตุ้นความอยากอาหารของลูกน้อย
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- โภชนาการเด็ก สำหรับเด็กวัยหัดเดิน สิ่งที่พ่อแม่ต้องรู้
- โภชนาการเด็ก สำหรับเด็กวัยหัดเดินควรกินอะไร?
- โภชนาการเด็ก อาหารตามวัย อายุ 12-23 เดือน
- โภชนาการเด็ก เทคนิคปลูกฝังนิสัยการกินที่ดีให้ลูก
- โภชนาการเด็ก รับมือเด็กวัยหัดเดิน "กินยาก" ด้วย 8 เทคนิคมัดใจ
- ไขข้อสงสัยโภชนาการเด็ก ทำไมลูกถึงกินน้อยหรือเบื่ออาหาร
โภชนาการเด็ก สำหรับเด็กวัยหัดเดิน สิ่งที่พ่อแม่ต้องรู้
เมื่อลูกน้อยอายุครบ 1 ขวบ นอกจากจะเริ่มก้าวเดินได้เองแล้ว ในเรื่องของ โภชนาการเด็ก อาหารการกินของลูกก็เปิดกว้างขึ้นด้วยเช่นกันค่ะ ช่วงวัยหัดเดินนี้เป็นเวลาทองที่คุณพ่อคุณแม่จะได้สร้างรากฐานที่ดีด้านการกิน ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพลูกรักไปตลอดชีวิต
พัฒนาการด้านการกินอาหารของลูก
ลูกอายุครบ 1 ขวบ นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่อาหารของลูกจะมีความหลากหลายมากขึ้นค่ะ จากที่เคยกินแต่อาหารบดจนกระทั่งหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตอนนี้ลูกพร้อมที่จะสำรวจรสชาติและเนื้อสัมผัสใหม่ ๆ แล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้นับเป็นโอกาสที่ดีที่คุณพ่อคุณแม่จะได้ส่งเสริมทักษะและนิสัยการกินที่ดีให้กับลูก ในวัยนี้เด็กจะมีความสามารถและทักษะใหม่ ๆ ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับการกินอาหาร ดังนี้ค่ะ
- กินอาหารที่หลากหลายขึ้น: จากอาหารหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลูกสามารถเริ่มทานอาหารที่มีเนื้อสัมผัสมากขึ้นได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผักต้มนิ่ม ๆ หรือผลไม้นุ่ม ๆ ที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
- เริ่มฝึกกินเอง: ลูกจะเริ่มอยากใช้มือหยิบจับอาหารเข้าปากด้วยตัวเอง ถึงจะเลอะเทอะบ้างก็เป็นเรื่องปกติค่ะ เพราะนี่คือการฝึกพัฒนาการกล้ามเนื้อมือและประสาทสัมผัสไปพร้อมกัน
- เคี้ยวอาหารได้ละเอียด: เมื่อฟันน้ำนมเริ่มขึ้น ลูกจะสามารถเคี้ยวอาหารได้ละเอียดมากขึ้น ทำให้พร้อมสำหรับเมนูที่หลากหลายกว่าเดิม
- หัดใช้ถ้วย: ลูกน้อยจะเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้แก้วหัดดื่มแบบไม่มีฝาปิดได้แล้ว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญสู่การดื่มด้วยตัวเอง
เพื่อให้การกินอาหารของลูกวัยหัดเดินเป็นเรื่องง่ายและสนุก แทนที่จะให้ลูกกินอาหาร 3 มื้อใหญ่ ลองเปลี่ยนเป็นมื้อย่อย ๆ ครั้งละประมาณครึ่งถ้วย วันละ 4-5 มื้อ พร้อมกับของว่างที่มีประโยชน์อีก 2 มื้อ เพื่อให้ลูกได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างเพียงพอ และหากลูกยังกินนมแม่อยู่ คุณแม่สามารถให้นมแม่ควบคู่ไปกับอาหารหลักได้ เพราะนมแม่ยังคงเป็นแหล่งสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยค่ะ
โภชนาการเด็ก สำหรับเด็กวัยหัดเดินควรกินอะไร?
เมื่อลูกน้อยเข้าสู่ช่วงวัยหัดเดิน ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยทารกสู่วัยเด็กเล็ก โลกของพวกเขาก็จะกว้างขึ้น สนุกกับการสำรวจสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว คุณแม่จึงต้องให้ความสำคัญกับโภชนาการเด็กเป็นพิเศษ เพื่อให้ลูกได้รับพลังงานและสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตค่ะ
จัดเต็มสารอาหาร 5 หมู่ เติบโตอย่างแข็งแรง
เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างเต็มที่ คุณแม่ควรจัดอาหารให้ครบ 5 หมู่ วันละ 4-5 มื้อ (รวมมื้ออาหารว่าง) โดยเน้นสารอาหารดังนี้ค่ะ
- ข้าวแป้ง: แหล่งพลังงานสำคัญสำหรับลูกน้อย ควรให้ลูกทานข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ เพราะมีวิตามินและใยอาหารมากกว่าข้าวขาว โดยให้ทานประมาณ 1 ทัพพีต่อมื้อค่ะ
- โปรตีน: ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและร่างกายให้แข็งแรง พบได้ในไข่ นม เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น หมู ปลา ไก่ รวมถึงถั่วและเต้าหู้ คุณแม่ควรให้ลูกทานไข่วันละ 1 ฟอง และดื่มนมทุกวัน เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางค่ะ
- ไขมัน: นอกจากจะให้พลังงานแล้วยังช่วยในการดูดซึมวิตามิน A, D, E, K ควรให้ลูกได้รับไขมันดีจากน้ำมันประมาณ 3 ช้อนชาต่อวันค่ะ
- ผักและผลไม้: อุดมไปด้วยวิตามินและใยอาหาร ควรให้ลูกทานผักหลากสีสัน เช่น เขียว ส้ม แดง เหลือง เพื่อส่งเสริมพัฒนาการรอบด้าน และเลือกให้ลูกทานผลไม้สดแทนน้ำผลไม้หรือผลไม้แปรรูป เพื่อลดปริมาณน้ำตาลส่วนเกินค่ะ
- นม: ควรให้ลูกดื่มนมจืดเป็นประจำทุกวัน วันละ 2-3 แก้ว เพื่อให้ได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงค่ะ
การใส่ใจใน โภชนาการเด็ก ที่ครบถ้วนและเหมาะสมกับเด็กวัยหัดเดิน จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ลูกน้อยเติบโตอย่างแข็งแรง มีพัฒนาการสมวัย และพร้อมสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในทุก ๆ วันค่ะ
โภชนาการเด็ก อาหารตามวัย อายุ 12-23 เดือน
หลักการเตรียมอาหารสำหรับลูกในช่วงวัยนี้คือ การให้ข้าวสวยในปริมาณ 5 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 1 ทัพพี และให้โปรตีน (เนื้อสัตว์) ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ โดยสามารถผสมหรือสลับปรับเปลี่ยนชนิดของโปรตีนให้หลากหลายได้ นอกจากนี้ ควรเติมผักใบเขียวหรือเหลืองส้มที่อ่อนนุ่มและมีกลิ่นไม่แรง 1-2 ชนิด ปริมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ และใช้น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
- ตัวอย่างเมนูอาหาร 3 มื้อ เด็กวัยหัดเดิน
ข้าวผัดไข่ แกงจืดไก่ผักหวานฟักทอง | ||
ส่วนประกอบอาหารต่อ 1 มื้อ | ปริมาณ | น้ำหนัก (กรัม) |
| ข้าวสวย | 5 ช้อนโต๊ะ | 50 กรัม |
| น้ำมันพืช | 1 ช้อนชา | 5 กรัม |
| ไข่ไก่ | 1/3 ฟอง | 16.5 กรัม |
| นำมาผัดเข้าด้วยกันได้เป็น ข้าวผัดไข่ | ||
| น้ำแกงจืดซุปกระดูกหมู | 10 ช้อนโต๊ะ | 100 กรัม |
| เนื้อไก่ | 1 ช้อนโต๊ะ | 15 กรัม |
| ตับไก่ | 1/4 ช้อนโต๊ะ | 4.25 กรัม |
| ฟักทอง | 2 ช้อนโต๊ะ | 20 กรัม |
| ผักหวาน | 2 ช้อนโต๊ะ | 10 กรัม |
| นำมาปรุงเข้าด้วยกันได้เป็น แกงจืดไก่ผักหวานฟักทอง | ||
ข้าว เต้าหู้อ่อนทอด ต้มเลือดหมู หมูสับ แครอท ตำลึง | ||
| ข้าวสวย | 5 ช้อนโต๊ะ | 50 กรัม |
| เต้าหู้หลอดไข่ไก่ (1/4 หลอด) | 2 ช้อนโต๊ะ | 34 กรัม |
| น้ำมันพืช | 1 ช้อนชา | 5 กรัม |
| นำเต้าหู้หลอดหั่นชิ้น ทอดกับน้ำมันพืช ได้เป็น เต้าหู้ทอด | ||
| น้ำแกงจืด | 10 ช้อนโต๊ะ | 100 กรัม |
| เลือดหมูต้ม | 1 ช้อนโต๊ะ | 13 กรัม |
| หมูสับ | 1 ช้อนโต๊ะ | 15 กรัม |
| แครอท | 2 ช้อนโต๊ะ | 20 กรัม |
| ตำลึง | 2 ช้อนโต๊ะ | 16 กรัม |
| นำมาปรุงเข้าด้วยกันได้เป็น ต้มเลือดหมู หมูสับ แครอท ตำลึง | ||
ข้าวปลาทู ไข่น้ำมันฝรั่ง หัวผักกาด | ||
| ข้าวสวย | 5 ช้อนโต๊ะ | 50 กรัม |
| ปลาทูนึ่งทอด | 1 ช้อนโต๊ะ | 10 กรัม |
| น้ำแกงจืด | 10 ช้อนโต๊ะ | 100 กรัม |
| น้ำมันพืช | 1/2 ช้อนชา | 2.5 กรัม |
| ไข่ไก่ทอด | 1/2 ฟอง | 25 กรัม |
| มันฝรั่ง | 2 ช้อนโต๊ะ | 20 กรัม |
| หัวผักกาดขาว | 2 ช้อนโต๊ะ | 22 กรัม |
| นำมาปรุงเข้าด้วยกันได้เป็น ไข่น้ำมันฝรั่ง หัวผักกาด | ||
คุณแม่สามารถปรับเปลี่ยนวัตถุดิบ ทั้งชนิดของผักและเนื้อสัตว์ในเมนูอาหารได้ตามความเหมาะสม โดยยึดหลักการเตรียมอาหารสำหรับเด็กจากคู่มืออาหารตามวัยสำหรับทารกและเด็กเล็กเป็นสำคัญค่ะ
โภชนาการเด็ก เทคนิคปลูกฝังนิสัยการกินที่ดีให้ลูก
การสร้างนิสัยการกินที่ดีเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการ การฝึกฝนการกินอาหารให้เด็กวัยหัดเดิน ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม นี่คือเทคนิคง่าย ๆ ที่คุณแม่สามารถนำไปปรับใช้ในการปลูกฝังการกินที่ดีให้ลูกค่ะ
1. ฝึกให้ลูกลองอาหารใหม่ ๆ แบบเนียน ๆ
ลูกอาจปฏิเสธ ผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ ที่ไม่คุ้นเคยได้ง่าย วิธีที่ดีที่สุดคือการ 'ปน' อาหารใหม่ ๆ ในปริมาณน้อยลงไปกับอาหารเดิมที่ลูกชอบกินอยู่แล้ว เพื่อให้เขาค่อย ๆ ชินกับรสชาติใหม่โดยไม่รู้ตัว และถ้าลูกปฏิเสธอย่าเพิ่งท้อ! ให้ลองซ้ำได้ถึง 10 ครั้ง กว่าที่ลูกจะยอมรับค่ะ

2. กำหนดเวลาอาหารให้ตรงเวลา
พยายามจัดเวลาอาหารให้ ไม่ตรงกับช่วงที่ลูกง่วงนอน เพราะร่างกายที่อ่อนล้าต้องการพักผ่อนมากกว่าการกิน วิธีง่าย ๆ คือการสังเกตช่วงเวลาที่ลูกง่วง หรือกำหนดเวลาอาหารตั้งแต่แรก เมื่อลูกอิ่มแล้วมักจะง่วงตามมา หากให้ลูกกินข้าวในช่วงที่ง่วงจัดบ่อย ๆ จะทำให้ลูกไม่ยอมกิน เพราะร่างกายกำลังเรียกร้องการพักผ่อนค่ะ
3. ฝึกกินอาหารที่มีประโยชน์ตั้งแต่เด็ก
อย่าคิดว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวโตค่อยฝึก" เพราะการปล่อยปละละเลยเท่ากับเป็นการ ฝึกนิสัยการกินที่ไม่ดี ให้ลูกไปแล้ว แต่ก็ ไม่ควรยัดเยียด อาหารที่ลูกไม่ชอบ เช่น ผักที่เขาต่อต้าน เพราะจะสร้างความฝังใจเชิงลบ ทำให้ลูกเกลียดอาหารชนิดนั้น ๆ ไปเลยเมื่อโตขึ้น ควรเน้นความหลากหลายและค่อยเป็นค่อยไป
4. เวลากินข้าว ต้องอยู่กับการกินเท่านั้น
หลีกเลี่ยงการใช้วิธี หลอกล่อ ด้วยการเปิด ทีวี หรือให้ เล่นของเล่น ขณะกินข้าว เพราะนั่นจะดึงความสนใจของลูกออกจากการกิน ทำให้ลูกไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการนั่งโต๊ะอาหาร วิธีที่ดีที่สุดคือ กำหนดให้เวลาอาหารเป็นเวลาของการกินเท่านั้น เมื่อกินเสร็จแล้วถึงจะไปทำกิจกรรมอื่นต่อได้ เป็นการสร้างวินัยที่ดีค่ะ

5. ค่อย ๆ ฝึกใช้ช้อนและแก้วน้ำด้วยตัวเอง
เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น ให้ค่อย ๆ ฝึกใช้ช้อน แก้วน้ำ และจานชาม แม้ว่าช่วงแรกเขาอาจมองสิ่งเหล่านี้เป็นของเล่นและทำอาหารเลอะเทอะบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ (ต้องทำใจเผื่อไว้เลยค่ะ!)
- เทคนิค เตรียมอุปกรณ์ให้ลูก 2 ชุด
- ชุดฝึก: ตักอาหารเล็กน้อยและน้ำนิดหน่อยให้ลูกลองใช้ด้วยตัวเอง ค่อย ๆ จับมือสอน
- ชุดป้อน: คุณแม่ใช้ป้อนอาหารเพื่อให้ลูกได้รับปริมาณอาหารที่เพียงพอ
และที่สำคัญที่สุดคือ อย่าลืมปรบมือและให้คำชม ทุกครั้งที่ลูกพยายามหรือทำได้ดี เพราะการให้กำลังใจในเชิงบวกนี้ จะช่วยสร้างความมั่นใจและทำให้ลูกรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้ทักษะการกินด้วยตัวเองค่ะ
โภชนาการเด็ก รับมือเด็กวัยหัดเดิน "กินยาก" ด้วย 8 เทคนิคมัดใจ
ลูกวัยหัดเดินอาจจะเริ่มแสดงความเป็นตัวของตัวเอง ทำให้การกินกลายเป็นศึกเล็ก ๆ บนโต๊ะอาหารได้ การรับมืออย่างถูกวิธีจะช่วยให้จากที่ลูกกินยาก กลายเป็นมีความสุขกับมื้ออาหารและเติบโตอย่างมีคุณภาพค่ะ
1. งดขนมจุบจิบก่อนมื้อหลักเด็ดขาด
หลีกเลี่ยงการให้ ขนมหวาน แป้ง หรือน้ำตาล ทุกชนิดก่อนมื้ออาหาร เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกอิ่มและหมดความสนใจในอาหารหลักไปเสียก่อน หากลูกหิวจริง ๆ ให้เปลี่ยนไปเป็น ผลไม้ หรือของว่างที่มีประโยชน์ ในปริมาณน้อยแทน เพื่อรักษาระดับความอยากอาหารของลูกไว้ค่ะ
2. กินพร้อมหน้า สร้างบรรยากาศที่ดี
ให้ลูกนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับสมาชิกในครอบครัวทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ใหญ่คนอื่น ๆ การกินข้าวร่วมกันจะ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น และกระตุ้นให้ลูกรู้สึกอยากลองกินตามแบบอย่างของผู้ใหญ่รอบข้างได้โดยธรรมชาติ
3. เริ่มต้นด้วยอาหารที่กินง่ายและมีสีสัน
ไม่บังคับ ลูกให้กินอาหารที่ไม่คุ้นเคย กลิ่นแรง หรือมีเนื้อสัมผัสที่เคี้ยวยาก (เช่น ผักที่มีเสี้ยน เนื้อเหนียว) แต่ควรเริ่มต้นด้วยอาหารที่กินง่าย เช่น ฟักทองนึ่ง เนื้อนุ่มเนียน และที่สำคัญคือ ดัดแปลงอาหารให้มีสีสันน่ากิน ลองจัดจานเป็นรูปการ์ตูน สัตว์ หรือตัวละครที่ลูกชื่นชอบ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและกระตุ้นความอยากอาหารค่ะ
4. สร้างความมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน
ชวนลูกเข้าร่วมในการเตรียมอาหารตามวัยที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและอยากกินสิ่งที่ตัวเองมีส่วนร่วมในการทำ ไม่ว่าจะเป็นการ เด็ดผัก ล้างผัก จัดจานชาม หรือแม้แต่ ออกความเห็น ว่ามื้อนี้อยากกินอะไร วิธีนี้จะทำให้ลูกรู้สึกภูมิใจและกระตือรือร้นกับมื้ออาหารมากขึ้นค่ะ
5. เลือกภาชนะใส่อาหารที่ดึงดูดใจ
คุณแม่ควรเลือก จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำ ที่มีลวดลายการ์ตูนหรือตัวละครที่ลูกรัก และ ชวนลูกไปเลือกซื้อเอง เพื่อให้เขารู้สึกผูกพันกับอุปกรณ์เหล่านั้น เมื่อถึงเวลากินข้าว ลูกก็จะอยากใช้อุปกรณ์ของตัวเองมากขึ้นค่ะ
6. สร้างบรรยากาศให้สนุก ไม่เร่งรัด
ใช้คำพูดที่ดี ท่าทีที่ สบาย ๆ ไม่เร่งรัด บังคับ ขู่เข็ญ หรืออ้อนวอน ขอให้ลูกกินเด็ดขาด เพราะการทำเช่นนั้นจะสร้างความเครียดให้กับทั้งคุณและลูก ชวนคุยเรื่องสนุก ๆ หรือถามไถ่เรื่องราวในแต่ละวัน เพื่อให้ลูกเพลินกับการเล่าเรื่องไปพร้อมกับการกิน วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกเจริญอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
7. ชื่นชมอย่างจริงใจและเหมาะสม
เมื่อลูกกินอาหารได้ดี ควรชมเชยอย่างจริงใจและเหมาะสม อย่าชมจนดูเกินจริงหรือโอเวอร์เกินไป เพราะลูกสามารถรับรู้ได้ถึงความไม่จริงใจ ซึ่งจะบั่นทอนความเชื่อถือของคุณแม่ลงได้ สิ่งสำคัญคือ หลีกเลี่ยงการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดี เช่น การโกหก ดุว่า หรือบังคับลงโทษเมื่อลูกไม่กินตามใจเรา เพราะจะยิ่งทำให้ลูก ต่อต้าน และเกลียดการกินในที่สุด
8. เล่านิทานจูงใจ ให้ลูกอยากกิน
เด็ก ๆ มักจะเชื่อในสิ่งที่นิทานเล่า ลองใช้วิธี เล่านิทานสนุก ๆ ที่แฝงข้อคิดเกี่ยวกับการกินอาหารที่มีประโยชน์ การกินผัก หรือการมีพฤติกรรมการกินที่ดี นิทานจะช่วยจูงใจและสร้างทัศนคติที่ดีต่ออาหารให้กับลูกได้ โดยที่ลูกไม่รู้สึกว่าถูกสอนหรือถูกบังคับค่ะ
หัวใจสำคัญของการรับมือกับลูกวัยหัดเดินที่กินยาก คือการ สร้างประสบการณ์ที่ดี ให้มื้ออาหาร โดยเน้นที่การ สร้างวินัย เช่น งดขนมก่อนมื้อหลัก และการ สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ไม่บังคับ ไม่ขู่เข็ญ มีส่วนร่วมในการเตรียมอาหาร ความอดทน ความสม่ำเสมอ และการให้คำชมอย่างจริงใจ คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ลูกของคุณพัฒนาทัศนคติที่ดีต่ออาหารและเติบโตอย่างมีความสุขค่ะ
ไขข้อสงสัยโภชนาการเด็ก ทำไมลูกถึงกินน้อยหรือเบื่ออาหาร
เมื่อลูกแสดงท่าทีไม่อยากอาหาร ไม่ได้หมายถึงแค่ว่าลูกไม่หิวเท่านั้น แต่อาจสะท้อนถึงปัญหาในวินัยและทัศนคติที่ดีต่อมื้ออาหารด้วย ซึ่งมักเกิดจากการที่ผู้ใหญ่กังวลเรื่องพัฒนาการของลูกมากเกินไป จนเกิดการคาดหวังหรือบังคับ ให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณมาก ทำให้ลูกเกิดความเบื่อหน่ายและรู้สึกต่อต้านขึ้นได้ค่ะ
จัดการภาวะเบื่ออาหารอย่างไร?
- อดทนและสร้างวินัยที่แข็งแรง: คุณพ่อคุณแม่ควรแข็งใจไม่ให้ขนมขบเคี้ยว ของหวาน หรือนมระหว่างมื้ออาหาร และอดทนรอจนกว่าลูกจะรู้สึกหิวเองตามธรรมชาติ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ลูกมีความอยากอาหารเมื่อถึงมื้อหลักจริง ๆ
- กำหนดเวลาและปริมาณที่เหมาะสม: เตรียมอาหารที่มี รสชาติดีและมีคุณค่า ในปริมาณที่ เหมาะสม กับวัย โดยให้ลูกรับประทานด้วยตัวเองจนหมด หรือจนกว่าจะรู้สึกอิ่ม และจำกัดเวลาในการกินแต่ละมื้อ ไม่ควรนานเกิน 30 นาที ที่สำคัญคือไม่ควรบังคับหรือยัดเยียดมากเกินไป
แบบอย่างที่ดีของพ่อแม่คือสิ่งสำคัญที่สุด
การเป็นแบบอย่างที่ดี คือกุญแจสำคัญในการส่งเสริมนิสัยการกินให้กับลูก การที่เรามี พฤติกรรมการกินที่ดี และ กินอาหารที่มีประโยชน์อย่างเต็มใจ ให้ลูกเห็น เป็นการเรียนรู้โดยตรงที่มีประสิทธิภาพที่สุด หากคุณอยากให้ลูกกินผัก ผลไม้ ดื่มนม หรืออาหารใด ๆ คุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงให้เห็นว่ากินสิ่งนั้นอย่างมีความสุข พร้อมกับชี้แนะประโยชน์ของอาหารต่าง ๆ เพื่อให้ลูกเรียนรู้ที่จะเลือกกินสิ่งที่มีคุณค่าจากวันนี้เป็นต้นไปค่ะ
โภชนาการเด็กที่ดีสำหรับเด็กวัยหัดเดินไม่ได้มีแค่การให้อาหารครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เท่านั้น แต่หัวใจสำคัญคือการ สร้างวินัยและทัศนคติที่ดีต่อมื้ออาหาร คุณพ่อคุณแม่ควรกำหนดเวลาอาหารให้สม่ำเสมอ งดขนมจุบจิบก่อนมื้อหลัก และ ไม่ควรบังคับหรือเร่งรัดลูกให้กิน ควรให้ลูก มีส่วนร่วม ในการเลือกและเตรียมอาหาร และเป็น แบบอย่างที่ดี ในการกินอาหารที่มีประโยชน์ การใช้ความ อดทน ความสม่ำเสมอ และการให้คำชม จะช่วยให้ลูกมีความสุขกับการกิน และเติบโตอย่างมีคุณภาพในที่สุดค่ะ
นอกจากนี้ การให้ลูกบริโภค นมครบส่วน (นมไขมันเต็ม) รสจืด เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีนและแคลเซียม อย่างเพียงพอในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน การเสริมด้วยนมกล่องสำหรับเด็ก 1-2 กล่องต่อวันให้กับลูก คุณแม่ควรพิจารณาสารอาหารสำคัญที่ควรมีในนมกล่องเด็ก เช่น ลูทีน (Lutein) มีความสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของดวงตาและสมอง ส่งเสริมให้ระบบต่าง ๆ พัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ โอเมก้า 3,6,9 มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเซลล์สมอง สนับสนุนการทำงานของระบบประสาท ช่วยส่งเสริมการมีสมาธิ และส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดีของลูกน้อย DHA มีส่วนช่วยในการบำรุงระบบประสาทและสมองให้ทำงานได้ดี พร้อมทั้งส่งเสริมเรื่องการมองเห็นอีกด้วย วิตามินบี ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมองให้มีประสิทธิภาพ รวมถึง แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน (Alphalac Sphingomyelin ) เป็นสารอาหารสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วในการส่งสัญญาณประสาท และสร้างสารสื่อประสาทในสมองของเด็กเจนใหม่ ทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการทางสติปัญญาและทักษะสมองที่สมบูรณ์ สามารถเรียนรู้และจดจำได้ไวอย่างก้าวกระโดดค่ะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- อาหารเด็ก 6-12 เดือน อาหารเด็กทารก ทำตามง่าย พร้อมวิธีทำ | S-Mom Club
- อาหารเด็ก 8 เดือน ตารางอาหารทารก 8 เดือน ลูกเริ่มกินอะไรได้บ้าง
- อาหารเด็ก 9 เดือน เมนูอาหารเด็ก 9 เดือน เสริมโภชนาการลูกรัก
- อาหารเด็ก 10 เดือน เมนูอาหารเด็ก 10 เดือน เสริมพัฒนาการลูกน้อย
- อาหารเด็ก 11 เดือน เมนูอาหารเด็ก 11 เดือน ช่วยบำรุงสมองลูกน้อย
อ้างอิง:
- พัฒนาการของลูกน้อยเมื่ออายุ 1 ปี, Unicef Thailand
- ความรู้ด้านโภชนาการสำหรับเด็ก, โรงพยาบาลวิภาวดี
- คู่มืออาหารตามวัยสำหรับทารกและเด็กเล็ก, สมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
- ฝึกนิสัยการกินให้ลูกน้อย, โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน
- เคล็ดลับ…เมื่อลูกกินยากช่างเลือก, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล
- 10 คำถามยอดฮิตที่หมอเด็กเจอบ่อย, โรงพยาบาลสมิติเวช
- เทคนิคฝึกลูกกินผัก, สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
- อาหารที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล
- อาหารเสริมพัฒนาการลูกน้อยวัยอนุบาล, โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์
- Nutritionist-Approved Finger Foods for Your Baby, Parents
- Babies and toddlers learning to feed themselves, Raising Children
อ้างอิง ณ วันที่ 28 กันยายน 2568