ลูกไม่ดิ้นแต่โก่งตัว ลูกดิ้นน้อยลง อันตรายไหม สังเกตได้อย่างไร

วิธีกระตุ้นให้ลูกดิ้น เมื่อลูกดิ้นน้อยลงและลูกไม่ดิ้นแต่โก่งตัว

08.04.2024

การดิ้นของลูกเป็นสัญญาณว่า ลูกน้อยในครรภ์คุณแม่ยังแข็งแรงดี คุณแม่ต้องหมั่นสังเกตตัวเองว่า ลูกยังดิ้นอยู่หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย บทความนี้จะแนะนำวิธีสังเกตอาการลูกดิ้น แบบไหนถือว่าปกติ แบบไหนต้องรีบไปพบแพทย์ ลูกไม่ดิ้นแต่โก่งตัว เป็นแบบไหน อันตรายหรือไม่ รวมถึง วิธีนับลูกดิ้น และวิธีกระตุ้นลูกดิ้นง่าย ๆ

headphones

PLAYING: วิธีกระตุ้นให้ลูกดิ้น เมื่อลูกดิ้นน้อยลงและลูกไม่ดิ้นแต่โก่งตัว

อ่าน 8 นาที

 

สรุป

  • คุณแม่จะเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นในช่วงอายุครรภ์ 16-20 สัปดาห์ และจะดิ้นมากที่สุดช่วงอายุครรภ์ 30-32 สัปดาห์
  • ลูกไม่ดิ้นแต่โก่งตัว คุณแม่จะรู้สึกว่าท้องแข็ง ท้องโย้ไปข้างใดข้างหนึ่ง ภาวะเช่นนี้ไม่เป็นอันตราย ถือเป็นการเคลื่อนไหวตามปกติของทารก
  • ลูกควรดิ้นไม่ต่ำกว่า 4 ครั้งใน 1 ชั่วโมง และไม่ต่ำกว่า 8 ครั้งใน 2 ชั่วโมง หากลูกดิ้นน้อยกว่านี้ ควรไปพบแพทย์
  • ลูกดิ้นน้อยลง อาจเกิดจากความเครียดของคุณแม่ ภาวะน้ำคร่ำน้อย หรือสายสะดือผูกเป็นปม ทำให้ออกซิเจนไหลเวียนไม่สะดวก อาจทำให้ลูกเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจนได้

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

ลูกจะเริ่มดิ้นเดือนไหน และช่วงไหนที่ดิ้นมากที่สุด

ลูกน้อยในครรภ์คุณแม่จะเริ่มมีการเคลื่อนไหวไปมาตั้งแต่สัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์ แต่คุณแม่จะยังไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว เนื่องจากลูกน้อยยังเป็นตัวอ่อนที่ตัวเล็กมาก โดยคุณแม่จะเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นเมื่ออายุครรภ์อยู่ในช่วง 16-20 สัปดาห์ สำหรับคุณแม่ท้องแรกอาจสังเกตลูกดิ้นได้ประมาณสัปดาห์ที่ 20 เป็นต้นไป บางคนจะรู้สึกเหมือนเส้นประสาทกระตุกเบา ๆ ซึ่งการดิ้นของลูกน้อยรวมไปถึง การขยับตัว เตะ ต่อย กระทุ้ง โก่งตัว พลิกตัว และม้วนตัว

 

การดิ้นของลูกน้อยจะชัดเจนและบ่อยขึ้นตามอายุครรภ์ที่มากขึ้น และดิ้นได้สูงสุดเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 30-32 สัปดาห์ โดยมีอัตราการดิ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 375-700 ครั้งต่อวัน จนมาถึงช่วงใกล้คลอด เมื่อลูกน้อยตัวโตขึ้นจนเต็มโพรงมดลูก จะเป็นช่วงที่ลูกดิ้นน้อยลง เนื่องจากพื้นที่ในการดิ้นลดลงนั่นเอง

 

วิธีนับลูกดิ้น ที่คุณแม่ควรรู้เอาไว้

คุณแม่ควรนับลูกดิ้น วันละ 1-2 เวลา เช่น นับตอนเช้า 1 ครั้ง และนับตอนเย็น 1 ครั้ง โดยเริ่มนับเมื่ออายุครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 หรือ 28 สัปดาห์เป็นต้นไป เมื่อรู้สึกว่าลูกกระแทก 1 ครั้ง นับเป็นลูกดิ้น 1 ครั้ง เมื่อลูกกระแทกอีก 1 ครั้ง นับเป็นลูกดิ้น 2 ครั้ง โดยลูกควรดิ้นอย่างน้อย 4 ครั้งต่อ 1 ชั่วโมง หากในชั่วโมงแรก ลูกดิ้นไม่ถึง 4 ครั้ง ให้เริ่มนับใหม่ในชั่วโมงถัดไป หากชั่วโมงที่ 2 ลูกยังดิ้นไม่ถึง 4 ครั้ง ให้คุณแม่รีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดความผิดปกติขึ้นกับลูกน้อยในครรภ์

 

ลูกไม่ดิ้นแต่โก่งตัว เป็นแบบไหน

ลูกไม่ดิ้นแต่โก่งตัว เมื่อลูกน้อยในท้องคุณแม่โก่งตัวชนเข้ากับผนังมดลูก ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ของลูกน้อย เช่น หัว ศอก ไหล่ เข่า มือ เท้า หรือ ก้น ปรากฏนูนบนหน้าท้องคุณแม่ คุณแม่จะรู้สึกว่าท้องแข็ง ท้องโย้ไปข้างใดข้างหนึ่ง ภาวะเช่นนี้ไม่เป็นอันตราย ถือเป็นการเคลื่อนไหวตามปกติของทารก

 

ลูกไม่ดิ้นแต่โก่งตัว ถือว่าอันตรายไหม

ลูกไม่ดิ้นแต่โก่งตัว คุณแม่จะรู้สึกว่าท้องแข็งขึ้นในบริเวณที่ลูกโก่งตัว ไม่ถือว่าอันตราย แต่หากคุณแม่รู้สึกว่าท้องแข็ง ทั่วท้องจนรู้สึกเจ็บ อึดอัด หายใจไม่สะดวก เป็นสัญญาณว่ามดลูกกำลังบีบรัดตัว และมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้ ให้คุณแม่สังเกตดูว่าหาก ท้องแข็ง 1 ครั้ง นานประมาณ 10 นาที ติดต่อกัน 4-5 ครั้ง เป็นชุด ๆ แบบนี้เรื่อย ๆ ควรรีบไปพบแพทย์เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด

 

ลูกไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อยลง เกิดจากอะไรได้บ้าง

 

ลูกไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อยลง เกิดจากอะไรได้บ้าง

ลูกไม่ดิ้น หรือลูกดิ้นน้อยลง อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เมื่อไรก็ตามที่ลูกดิ้นน้อยลง มักเกิดร่วมกับภาวะขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นภาวะที่อันตราย เช่น คุณแม่มีความเครียด หรืออาจเกิดจากน้ำคร่ำน้อย หรือสายสะดือผูกเป็นปม ทำให้ออกซิเจนและการไหลเวียนของเลือดภายในรก เพื่อส่งไปยังลูกน้อยในครรภ์ลดลงหรือไม่เพียงพอ อาจทำให้ลูกน้อยเสี่ยงเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจนได้

 

ลูกไม่ดิ้นหลังกินข้าว ปกติไหม

โดยปกติแล้วลูกน้อยจะดิ้นมากขึ้น หลังจากคุณแม่รับประทานอาหาร เนื่องจากทารกไวต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้น เมื่อน้ำตาลในเลือดของคุณแม่เพิ่มขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร ลูกน้อยในครรภ์มักจะตื่นตัวและมีแนวโน้มที่จะดิ้นมากขึ้น แต่หากลูกไม่ดิ้น อาจเป็นช่วงเวลาที่ลูกน้อยกำลังหลับ โดยวงจรการหลับตื่นของลูกน้อยในครรภ์จะอยู่ประมาณ 20-40 นาที ก็จะตื่นและกลับมาดิ้นอีกครั้ง คุณแม่ควรคอยสังเกตให้ดี

 

ลูกไม่ดิ้นกี่ชั่วโมง ต้องไปหาหมอ

ในกรณีที่ลูกดิ้นปกติ คุณแม่ควรนับลูกดิ้นได้ไม่ต่ำกว่า 4 ครั้งใน 1 ชั่วโมง และไม่ต่ำกว่า 8 ครั้งใน 2 ชั่วโมง หากลูกดิ้นน้อยกว่านี้ ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจเพิ่มเติม และคุณแม่ควรนับลูกดิ้นเองเช่นนี้ทุกวันไปจนกว่าจะคลอด

 

ลูกไม่ดิ้น และคุณแม่มีอาการร่วมแบบนี้ ต้องไปหาหมอ

หากคุณแม่สังเกตว่า ลูกไม่ดิ้น หรือลูกดิ้นน้อยกว่า 8 ครั้งภายใน 2 ชั่วโมง โดยที่ตัวคุณแม่เองก็เริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด อาการเช่นนี้ให้รีบพบแพทย์โดยเร็ว

 

ลูกดิ้นน้อย คุณแม่ช่วยกระตุ้นได้นะ

เวลาที่คุณแม่รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง เกิดความผิดปกติอะไรหรือไม่ ให้คุณแม่ลองกระตุ้นให้ลูกดิ้นด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

  1. ดื่มน้ำเย็น การดื่มน้ำเย็นช่วยกระตุ้นให้ลูกน้อยตื่นตัว และเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
  2. เปลี่ยนท่านอน ท่านอนหงายจะทำให้คุณแม่รู้สึกถึงการดิ้นของทารกได้มากขึ้น หรืออาจนอนตะแคงซ้ายเป็นท่าที่ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
  3. เปิดเพลงให้ฟัง ทารกมักจะดิ้นเวลาได้ยินเสียงเพลง โดยเฉพาะเพลงที่ลูกคุ้นเคย เช่น เพลงกล่อมเด็ก เสียงสวดมนต์ หรือเพลงที่มีจังหวะสนุก ก็สามารถช่วยให้ลูกตื่นขึ้นมาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีกครั้ง
  4. ชวนลูกพูดคุยบ่อย ๆ การได้ยินเสียงที่คุ้นเคย โดยเฉพาะเสียงของคุณพ่อและคุณแม่ จะทำให้ลูกน้อยขยับร่างกายเพื่อตอบสนองต่อเสียงของคุณพ่อคุณแม่
  5. หลังรับประทานอาหาร คุณแม่ได้รับสารอาหารหรือน้ำตาลเข้าไปสักพัก ลูกก็จะเริ่มดิ้นมากขึ้น ทั้งนี้ ไม่ควรทานหวานมากจนเกินไป หรือบ่อยเกินไป เนื่องจากอาจเสี่ยงภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้
  6. กดท้องเบา ๆ เพื่อเรียกลูก โดยคุณแม่ใช้มือกดท้องด้านใดด้านหนึ่งเบา ๆ และสังเกตว่า ลูกน้อยมีการตอบสนองกลับมา แสดงว่าลูกรับรู้การทักทายของคุณแม่แล้ว

 

หากทำตามวิธีข้างต้นแล้ว ลูกน้อยยังไม่มีการตอบสนอง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเช็กอย่างละเอียด เพราะการดิ้นของทารกในครรภ์เป็นสัญญาณบ่งบอกความสมบูรณ์แข็งแรงของลูกน้อย คุณแม่ต้องหมั่นสังเกตอาการ หมั่นกระตุ้นให้ลูกดิ้น และนับลูกดิ้นเป็นประจำไปจนกว่าจะคลอด หากสังเกตว่าลูกดิ้นน้อยลง หรือไม่มั่นใจ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

 

 

อ้างอิง:

  1. ลูกไม่ดิ้น…สัญญาณอันตรายที่คุณแม่ควรเฝ้าระวัง!, โรงพยาบาลเปาโล
  2. คุณแม่รู้ไหม ลูกดิ้น..บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด, โรงพยาบาลเปาโล
  3. การดิ้นของทารกในครรภ์ สัญญาณที่คุณแม่ควรรู้, โรงพยาบาลบางปะกอก
  4. นับลูกดิ้นอย่างไร...ให้รู้ว่าทารกปลอดภัยนะ, โรงพยาบาลพญาไท
  5. ท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ เสี่ยงอันตรายแค่ไหน, โรงพยาบาลพญาไท
  6. What You Should Know About Fetal Movement but Never Thought to Ask, Dr. Inga Zilberstein
  7. คำแนะนำการตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์ โดยมารดา, โรงพยาบาลรามคำแหง

อ้างอิง ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567

บทความแนะนำ

คนท้องกินชีสได้ไหม ชีสชนิดไหนปลอดภัย อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า

คนท้องกินชีสได้ไหม ชีสชนิดไหนปลอดภัย อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า

คนท้องกินชีสได้ไหม คุณแม่ท้องอยากกินชีส เพื่อบำรุงสุขภาพครรภ์ ชีสชนิดไหนกินได้ ดีกับลูกในท้องหรือเปล่า กินเท่าไหร่ถึงพอดีและปลอดภัยกับคุณแม่และลูกในครรภ์

คนท้องกินทับทิมได้ไหม มีประโยชน์ยังไง อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า

คนท้องกินทับทิมได้ไหม มีประโยชน์ยังไง อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า

คนท้องกินทับทิมได้ไหม คุณแม่ท้องอยากกินทับทิม เพื่อบำรุงสุขภาพครรภ์ ทับทิมดีกับลูกในท้องหรือเปล่า กินเท่าไหร่ถึงพอดีและปลอดภัยกับคุณแม่และลูกในครรภ์

คนท้องกินพิซซ่าได้ไหม เท่าไหร่ถึงพอดี อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า

คนท้องกินพิซซ่าได้ไหม เท่าไหร่ถึงพอดี อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า

คนท้องกินพิซซ่าได้ไหม คุณแม่ท้องอยากกินพิซซ่า เพื่อบำรุงสุขภาพครรภ์ พิซซ่าดีกับลูกในท้องหรือเปล่า กินเท่าไหร่ถึงพอดีและปลอดภัยกับคุณแม่และลูกในครรภ์

คนท้องกินมังคุดได้ไหม มีประโยชน์ยังไง อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า

คนท้องกินมังคุดได้ไหม มีประโยชน์ยังไง อันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า

คนท้องกินมังคุดได้ไหม คุณแม่ท้องอยากกินมังคุด เพื่อบำรุงสุขภาพครรภ์ มังคุดดีกับลูกในท้องหรือเปล่า กินเท่าไหร่ถึงพอดีและปลอดภัยกับคุณแม่และลูกในครรภ์

เลือกระยะการตั้งครรภ์และพัฒนาการเด็ก