ลูกมีน้ำมูกไหลเป็นน้ำใส ๆ ไม่หยุด ลูกเป็นหวัดน้ำมูกไหลไม่หายสักที

น้ำมูกไหลเป็นน้ำใส ๆ ไม่หยุด ลูกเป็นหวัดน้ำมูกไหลไม่หายสักที

10.05.2024

ลูกมีน้ำมูกไหลเป็นน้ำใส ๆ ไม่หยุด ทำให้คุณพ่อคุณแม่เกิดความกังวลใจกันมาก ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจถึงการมีน้ำมูกของลูก เบื้องต้นต้องทราบก่อนว่ามีน้ำมูกเพราะอะไร เพื่อที่จะได้รับการดูแลเบื้องต้นและรับการรักษาจากแพทย์ได้ตรงกับโรคที่เป็นต่อไป โดยปกติคุณพ่อคุณแม่จะเข้าใจกันว่าการที่ลูกมีน้ำมูกก็เพราะเป็นหวัด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการที่ลูกมีน้ำมูกสามารถบอกได้อีกหลายโรคที่อาจกำลังป่วยอยู่ก็ได้

headphones

PLAYING: น้ำมูกไหลเป็นน้ำใส ๆ ไม่หยุด ลูกเป็นหวัดน้ำมูกไหลไม่หายสักที

อ่าน 7 นาที

 

สรุป

  • น้ำมูกไหลเป็นน้ำใส ๆ ไม่หยุดอาจเกิดจากจมูกเกิดการระคายเคือง ที่มีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล กลิ่น ควัน ฝุ่น รวมทั้งการอักเสบของไซนัส และภูมิแพ้
  • ลูกมีน้ำมูกไหลเป็นน้ำใส ๆ ไม่หยุด อาจมาจากการป่วยด้วยโรค เช่น ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ โรคจมูกอักเสบ และโรคไซนัสอักเสบ
  • ลูกมีน้ำมูกไหลเป็นน้ำใส ๆ ไม่หยุด อาจมาจากโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ทำให้มีน้ำมูกใส ๆ ไหลออกมามากจนสามารถทำให้มีน้ำมูกไหลลงคอ

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

สาเหตุของการเกิดน้ำมูก

  • ในทางการแพทย์อธิบายถึงการเกิด “น้ำมูก” ขึ้นนั้นมาจากการที่เยื่อบุของระบบทางเดินหายใจ และเยื่อบุของระบบทางเดินอาหารบางส่วนภายในร่างกาย เช่น จมูก ไซนัส โพรงหลังจมูก ช่องปาก ช่องคอ หลอดลม และกล่องเสียง จะมีต่อมเพื่อสร้างน้ำมูก เมือก และเสมหะขึ้นมา เพื่อปกป้องอวัยวะที่อยู่ภายใต้เยื่อบุทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร ให้มีความปลอดภัยจากสารระคายเคือง หรือสารพิษ
  • สารก่อภูมิแพ้ (เช่น ละอองเกสร ไรฝุ่น), ฝุ่น, เชื้อโรค ฯลฯ ที่ลอยมาปะปนกับอากาศเข้ามาติดอยู่ในลมหายใจ จะถูกน้ำมูกในระบบทางเดินหายใจ คอยดักจับป้องกันไว้อย่างดี โดยน้ำมูกจะมีสารต่อต้านเชื้อโรค เช่น เอนไซม์ และแอนติบอดี ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ
  • เวลาที่มีน้ำมูกไหล อาจเกิดเพราะจมูกเกิดการระคายเคือง ที่มีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล กลิ่น ควัน ฝุ่น รวมทั้งการอักเสบของไซนัส และภูมิแพ้ เป็นต้น

 

ลูกน้อยมีน้ำมูกไหลเป็นน้ำใส ๆ ไม่หยุด เป็นอะไรได้บ้าง

การที่ลูกน้อยมีน้ำมูกบอกให้ทราบถึงโรคที่กำลังป่วยอยู่ได้หลายโรค

อาการหวัดธรรมดา (Common Cold)

  • สาเหตุ: เกิดจากระบบทางเดินหายใจเกิดการติดเชื้อไวรัส
  • อาการ: มีน้ำมูกไหล อาจมีไข้ต่ำ มีการไอ และจาม

 

โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)

  • สาเหตุ: เกิดจากระบบทางเดินหายใจเกิดการติดเชื้อไวรัส
  • อาการ: มีน้ำมูกไหล มีไข้สูง มีอาการอาเจียน ท้องเสีย และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

 

โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ หรือแพ้อากาศ (Allergic rhinitis)

  • สาเหตุ: เกิดจากเยื่อบุจมูกได้รับสารก่อภูมิแพ้
  • อาการ: มีน้ำมูกไหล คันจมูก คันเพดาน และมีการจาม

 

โรคไซนัสอักเสบ (Acute sinusitis)

  • สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา
  • อาการ: มีน้ำมูกมากจนไหลลงคอ คันจมูก และไอ บางครั้งลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

 

สีของน้ำมูกบ่งบอกถึงอะไร

ลูกมีน้ำมูกไหล คุณพ่อคุณแม่ควรต้องสังเกตสีของน้ำมูกที่ออกมาจากจมูกลูกด้วย เพราะแต่ละสีมีสาเหตุที่เกิดต่างกัน ได้แก่

1. น้ำมูกสีขาวขุ่น

สาเหตุ: มาจากการที่โพรงจมูกมีน้ำมูกขังมาเป็นเวลาหลายวัน จากเยื่อบุจมูกที่บวม น้ำมูกที่ไหลออกมาจะมีสีขาวขุ่น เหนียวและหนา

 

2. น้ำมูกสีใส

สาเหตุ: อาจเกิดขึ้นได้จากหวัด เยื่อบุจมูกอักเสบ หรือมาจากการติดเชื้อขึ้นในระบบทางเดินหายใจ

 

3. น้ำมูกสีเขียว

สาเหตุ: ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย อย่างเม็ดเลือดขาว กำลังทำงานเพื่อต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งน้ำมูกสีเขียว เกิดจากการติดเชื้อขึ้นภายในโพรงจมูก หรือไซนัสอักเสบ

 

4. น้ำมูกสีเหลือง

สาเหตุ: มาจากด้านในโพรงจมูก หรือไซนัส มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวออกมาต่อต้านและทำลายเชื้อแบคทีเรีย เซลล์เม็ดเลือดขาว กับเชื้อแบคทีเรียที่ตายแล้ว จะมีทั้งเมือกและหนอง จนทำให้น้ำมูกมีสีเหลือง

 

5. น้ำมูกสีแดง

สาเหตุ: มาจากการระคายเคือง หรือเกิดการบาดเจ็บขึ้นที่จมูก จนทำให้เส้นเลือดในโพรงจมูกแตก

 

6. น้ำมูกสีเทา

สาเหตุ: เนื่องจากเป็นริดสีดวงจมูก ที่เกิดจากเยื่อบุจมูก หรือไซนัสมีอาการบวมมากจนเกิดเป็นก้อนอยู่ด้านในโพรงจมูก

 

ลูกเป็นหวัดน้ำมูกไหลไม่หายสักที อันตรายไหม

หลังจากลูกเป็นหวัดมีน้ำมูกไหลได้ 3-4 วัน อาการหวัดมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายเป็นปกติ แต่หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกมีอาการหวัดเป็นนานมากกว่า 10 วันขึ้นไป แนะนำให้พาไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดและได้รับการรักษาในทันที เนื่องจากการเป็นไข้หวัดเรื้อรังนานอาจมีภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ได้แก่

  • โรคหูน้ำหนวก
  • โรคไซนัสอักเสบ
  • โรคปอดอักเสบ
  • โรคภูมิแพ้จมูก

 

ลูกมีน้ำมูกแต่ไม่มีไข้ แบบไหนคือโรคภูมิแพ้

 

ลูกมีน้ำมูกแต่ไม่มีไข้ แบบไหนคือโรคภูมิแพ้

หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกมีน้ำมูกแต่ไม่มีอาการของการเป็นไข้ อาจเป็นไปได้ว่าลูกมีภาวะของโรคภูมิแพ้จมูก สำหรับอาการของโรคภูมิแพ้จมูก (Allergic rhinitis) เด็กที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้จมูกมักมีอาการเกิดของโรคที่เดี๋ยวหายไป เดี๋ยวเป็นขึ้นมาใหม่สลับกันไปมา โดยจะมีอาการแตกต่างจากโรคหวัด ดังนี้

โรคภูมิแพ้จมูก

  • มีน้ำมูกใส
  • มีคันจมูก คัดจมูก และจาม
  • ไม่มีไข้

 

โรคหวัด

  • มีน้ำมูกใส
  • อาจมีไข้ต่ำ ๆ และปวดศีรษะเล็กน้อยขึ้นได้
  • ไอมีเสมหะ และเจ็บคอ
  • จาม และเสียงแหบ

 

ปัจจัยที่ส่งผลทำให้ลูกเป็นโรคภูมิแพ้จมูก

  • กรรมพันธุ์จากพ่อแม่
  • สารก่อภูมิแพ้ที่บ้าน เช่น รังแคหรือขนสัตว์เลี้ยง ฝุ่น ควันบุหรี่ เป็นต้น
  • สารก่อภูมิแพ้นอกบ้าน เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่น ควันต่าง ๆ เป็นต้น
  • ตั้งแต่แรกเกิดไม่ได้กินนมแม่ โดยทารกที่กินนมแม่อย่างเดียว ทารกจะไม่ได้รับโปรตีนจากนมวัว ซึ่งเป็นโปรตีนที่สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของทารก และทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ดังนั้นทารกที่กินนมแม่ จึงมีอัตราการเกิดโรคภูมิแพ้น้อยกว่า

 

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคภูมิแพ้จมูก

  • ไซนัสอักเสบ
  • หูชั้นกลางอักเสบ
  • นอนกรน

 

วิธีล้างจมูกอย่างถูกวิธี

  1. คุณแม่ล้างมือให้สะอาด
  2. เทน้ำเกลือลงในถ้วยใส่น้ำเกลือที่สะอาด
  3. ใช้กระบอกฉีดขนาด 5-10 ซีซี ดูดน้ำเกลือประมาณ 5-10 มิลลิลิตร
  4. จัดให้ลูกอยู่ในท่าโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
  5. ให้ลูกกลั้นหายใจ ก้มหน้า และอ้าปาก
  6. จากนั้นคุณแม่ค่อย ๆ ฉีดน้ำเกลือเข้าในรูจมูกลูกทีละข้าง โดยให้น้ำเกลือไหลผ่านเข้าโพรงจมูกของข้างที่สอดกระบอกฉีด จะต้องให้น้ำเกลือไหลผ่านออกมาทางรูจมูกของอีกข้าง
  7. เปลี่ยนสลับมาฉีดน้ำเกลือเข้าจมูกอีกข้าง วิธีการทำเหมือนกับล้างจมูกข้างก่อนหน้า

 

วิธีป้องกันลูกน้อย เวลาที่ลูกมีน้ำมูกไหลเป็นน้ำใส ๆ ไม่หยุด

  1. เพื่อช่วยให้ลูกหายใจได้สะดวก ช่วยลดอาการคัดแน่นจมูกขณะนอน ในเด็กเล็ก แนะนำคุณแม่จัดให้ลูกนอนในท่าตะแคง ส่วนในเด็กโตให้นอนหนุนหมอนสูงขึ้นเล็กน้อย
  2. จัดห้องนอนให้อากาศถ่ายเท หากหน้าต่างติดมุ้งลวดกันยุง อาจเปิดหน้าต่างบานกระจกออกเพื่อให้อากาศภายในห้องนอนถ่ายเทได้ดีขึ้น และปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อให้อุณหภูมิอุ่นขึ้น
  3. งดพาออกไปเล่นนอกบ้านชั่วคราว เพื่อให้ลูกดีขึ้นจากการมีน้ำมูกและการไอ ควรงดพาลูกออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น การออกกำลังกาย
  4. ดูแลบำรุงร่างกายลูกให้แข็งแรงขึ้น ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แนะนำให้รับประทานอาหารรสชาติอ่อน ๆ มากกว่าอาหารรสจัด
  5. ให้ลูกดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ หรือน้ำอุณหภูมิห้องธรรมดา การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยให้อาการไข้และอาการไอบรรเทาลง
  6. ล้างจมูกอย่างถูกวิธี การล้างจมูกจะช่วยให้หายใจได้โล่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถล้างจมูกลูกด้วยน้ำเกลือ ตามคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์

 

ลูกมีน้ำมูกแบบไหน ต้องรีบพบแพทย์

หากลูกมีน้ำมูกนาน 1-2 สัปดาห์ และมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย แนะนำให้พาไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นอาการของไข้หวัดใหญ่ไม่ควรปล่อยอาการไว้นานเพราะเสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบได้

  1. มีไข้สูง เป็นไข้นานร่วมสัปดาห์
  2. คัดจมูก มีน้ำมูกใส
  3. ปวดศีรษะ
  4. ไอหนัก
  5. ท้องเสีย
  6. เบื่ออาหาร
  7. ปวดกล้ามเนื้อ

 

เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากหวัด เช่น โรคไซนัสอักเสบ โรคภูมิแพ้จมูก ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตหากลูกมีน้ำมูกใส ๆ ไหลมากกว่า 3-4 วันขึ้นไปแล้วยังไม่หาย ควรพาลูกไปพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที และเพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของลูกน้อยให้แข็งแรงตั้งแต่แรกเกิด ช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยต่าง ๆ แนะนำคุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การที่ลูกกินนมแม่จะช่วยเสริมพัฒนาการสมองการเรียนรู้ และช่วยปกป้องร่างกายของลูกจากการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ นมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด มีสารอาหารสำคัญอย่างสฟิงโกไมอีลินและดีเอชเอ ที่เป็นสารอาหารเพื่อพัฒนาสมองให้มีการเรียนรู้ได้เร็ว และมีจุลินทรีย์สุขภาพหลายสายพันธุ์ เช่น B. lactis ที่ช่วยกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันในลำไส้ให้แข็งแรง

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่

 

 

อ้างอิง:

  1. ทายสุขภาพจากสีน้ำมูก, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  2. น้ำมูกบอกความผิดปกติของร่างกายได้นะ, โรงพยาบาลเปาโล
  3. ภาวะน้ำมูกไหลมาก เกิดจากอะไร รักษาได้หรือไม่, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  4. ไข้หวัดในเด็กอย่าปล่อยให้เรื้อรัง, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการุณย์
  5. ไข้หวัดใหญ่ Vs ไข้หวัดธรรมดา ต่างกันอย่างไร?, โรงพยาบาลพิษณุโลก
  6. โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้, โรงพยาบาลศิครินทร์
  7. โรคระบบทางเดินหายใจในเด็กที่ควรต้องรู้, โรงพยาบาลกรุงเทพ
  8. COVID-19 VS ไข้หวัดใหญ่ อาการต่างกันอย่างไร?, โรงพยาบาลขอนแก่น ราม
  9. โรคภูมิแพ้จมูกในเด็ก (Allergic rhinitis), โรงพยาบาลเวชธานี
  10. ลูกเป็นหวัดบ่อยดูแลอย่างไรให้ถูกวิธี, โรงพยาบาลกรุงเทพ
  11. ล้างจมูกเด็กด้วยน้ำเกลืออย่างถูกวิธี บรรเทาหวัด ขจัดเชื้อโรค, โรงพยาบาลพญาไท
  12. ไข้หวัดใหญ่ โรคควรระวังของเด็กในช่วงฤดูฝน, โรงพยาบาลสมิติเวช
  13. การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ภายในชั่วโมงแรกหลังคลอด: อะไรเวิร์ก อะไรไม่เวิร์ก?, UNICEF
  14. ภูมิแพ้ VS ไข้หวัด VS ไข้หวัดใหญ่ VS โควิด-19 แยกให้เป็นไม่ตื่นตระหนก, โรงพยาบาลกรุงเทพ
  15. สร้างภูมิคุ้มกันลูกน้อยด้วย ‘นมแม่’, สถาบันราชานุกูล กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

อ้างอิง ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2567
 

บทความแนะนำ

สังเกตภูมิแพ้ในเด็ก อาการภูมิแพ้อากาศ พร้อมวิธีให้ลูกห่างจากอาการแพ้

สังเกตภูมิแพ้ในเด็ก อาการภูมิแพ้อากาศ พร้อมวิธีให้ลูกห่างจากอาการแพ้

ภูมิแพ้ในเด็กหรือเด็กแก้อากาศในวัยบอบบางเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ได้ง่าย พ่อแม่สามารถรับมือและคัดกรองความเสี่ยงให้ลูกห่างจากอาการแพ้อากาศ พร้อมเสริมสร้างเกราะคุ้มกัน

อาการภูมิแพ้ในเด็ก คืออะไร เด็กเป็นภูมิแพ้ คุณแม่ป้องกันได้แค่ไหน

อาการภูมิแพ้ในเด็ก คืออะไร เด็กเป็นภูมิแพ้ คุณแม่ป้องกันได้แค่ไหน

ภูมิแพ้ในเด็ก คืออะไร เด็กเป็นภูมิแพ้ เกิดจากหลายปัจจัยอะไรบ้าง คุณแม่ควรหมั่นสังเกตอาการภูมิแพ้ในเด็กของลูกน้อย พร้อมวิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงสารกระตุ้นภูมิแพ้

อาการภูมิแพ้ในเด็ก สาเหตุ อาการ พร้อมวิธีดูแลรักษาภูมิแพ้ในเด็ก

โรคภูมิแพ้ในเด็ก อาการ สาเหตุ พร้อมวิธีดูแลอาการภูมิแพ้ในเด็ก

ทำความรู้จักโรคภูมิแพ้ในเด็ก สาเหตุ อาการ และ 3 ข้อควรรู้เกี่ยวกับอาการภูมิแพ้ในเด็กที่เกิดขึ้นกับลูก ภูมิแพ้ในเด็กเกิดจากอะไร พร้อมวิธีดูแลลูกน้อยเบื้องต้น

รู้ทันโรคภูมิแพ้ในเด็ก เด็กแพ้ฝุ่น ภูมิแพ้อาหาร ที่แม่ป้องกันได้

รู้ทันโรคภูมิแพ้ในเด็ก เด็กแพ้ฝุ่น ภูมิแพ้อาหาร ที่แม่ป้องกันได้

โรคภูมิแพ้ในเด็ก เกิดจากอะไร ลูกเป็นภูมิแพ้ฝุ่น ขนสัตว์หรือเด็กแพ้อาหาร คุณแม่ควรสังเกตสารก่อภูมิแพ้ในเด็ก พร้อมวิธีป้องกันอาการเด็กแพ้ฝุ่นและเด็กแพ้อาหาร

เลือกระยะการตั้งครรภ์และพัฒนาการเด็ก