เวียนหัวคลื่นไส้พะอืดพะอม อาการแบบนี้ใช่อาการแพ้ท้องหรือเปล่า

เวียนหัวคลื่นไส้พะอืดพะอม ปวดหัวคลื่นไส้ ใช่อาการแพ้ท้องไหม

16.02.2024

เมื่อตั้งครรภ์คุณแม่ส่วนใหญ่ต้องเจอกับอาการแพ้ท้อง (Morning sickness) ซึ่งจะทำให้ไม่สบายตัวรู้สึกเวียนหัวคลื่นไส้พะอืดพะอม อาการแพ้ท้องจะเริ่มในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสแรกประมาณอายุครรภ์ 4-6 สัปดาห์ไปจนถึงอายุครรภ์ 14 สัปดาห์ อาการแพ้ท้องจะค่อย ๆ ดีขึ้นจนคุณแม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

headphones

PLAYING: เวียนหัวคลื่นไส้พะอืดพะอม ปวดหัวคลื่นไส้ ใช่อาการแพ้ท้องไหม

อ่าน 6 นาที

 

สรุป

  • เวียนหัวคลื่นไส้พะอืดพะอม อาการแพ้ท้อง จะเริ่มเป็นในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสแรก ที่อายุครรภ์ 4-6 สัปดาห์ และอาการแพ้ท้องจะทุเลาลงหลังอายุครรภ์ได้ 14 สัปดาห์
  • ฮอร์โมน Beta-hCG ส่งผลทำให้เกิดอาการเวียนหัวคลื่นไส้พะอืดพะอม
  • อาการแพ้ท้องสามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์ไตรมาสแรกได้ถึง 3 ระดับ โดยระดับที่สอง และระดับสาม คุณแม่ตั้งครรภ์จำเป็นต้องพบแพทย์ทันที

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ระดับฮอร์โมนในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะฮอร์โมน Beta-hCG (Beta Subunit-Human Chorionic Gonadotropin) จะมีระดับที่สูงขึ้นในช่วงการตั้งครรภ์ 1-3 เดือนไตรมาสแรก ฮอร์โมน hCG เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่มีอาการเวียนหัวคลื่นไส้พะอืดพะอม อยากอาเจียน สำหรับฮอร์โมน hCG จะค่อย ๆ ปรับระดับลงหลังจากอายุครรภ์ผ่านไตรมาสแรกไปแล้ว และการที่ระดับฮอร์โมน hCG สูงขึ้นขณะตั้งครรภ์ยังบอกถึงสุขภาพลูกน้อยในครรภ์ว่ามีความแข็งแรงอีกด้วย

 

อาการแพ้ท้อง อาการเวียนหัวคลื่นไส้เกิดจากอะไร

ท้องนี้แพ้ท้องหนัก! อาการแพ้ท้อง (Morning sickness) ที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์ มีปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ท้องได้ดังนี้

  • กลไกของร่างกาย: ในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสแรก ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อต้านอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย เพื่อป้องกันให้ทารกมีความปลอดภัย อาการแพ้ท้องระยะแรก จึงเกิดขึ้นในช่วงนี้เนื่องจากในช่วง 1-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ทารกอยู่ในช่วงที่กำลังมีการก่อร่างสร้างอวัยวะต่าง ๆ ให้ครบ และหลังจากผ่านไตรมาสแรกไป ทารกก็จะสร้างอวัยวะสำคัญจนเสร็จเกือบทั้งหมด พร้อมกันนี้ก็จะส่งผลให้อาการแพ้ท้องของคุณแม่ค่อย ๆ ดีขึ้นตามไปด้วย
  • ฮอร์โมน hCG: ขณะตั้งครรภ์รกจะมีการสร้างฮอร์โมน hCG (Human Chorionic Gonadotrophin) ขึ้นในร่างกาย หากเนื้อรกมีมากก็จะยิ่งสร้างให้มีฮอร์โมน hCG ออกมาในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้เกิดอาการแพ้ท้องในคุณแม่ตั้งครรภ์

 

คุณแม่ตั้งครรภ์ จะเริ่มมีอาการแพ้ท้องตอนไหน

อาการแพ้ท้องเกิดขึ้นได้ทั้งวัน หรืออาจเป็นเฉพาะช่วงเช้า หรือช่วงบ่ายก็ได้เช่นกัน ในคุณแม่ตั้งครรภ์จะเริ่มมีอาการเวียนหัวคลื่นไส้พะอืดพะอมรู้สึกอยากอาเจียน เมื่ออายุครรภ์เข้า 6 สัปดาห์ ของการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก อาการแพ้ท้องพบว่าเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงที่สูงขึ้นของระดับฮอร์โมน hCG (Human Chorionic Gonadotropin) ในร่างกาย แพ้ท้องคือสัญญาณของการตั้งครรภ์ที่ไม่เป็นอันตราย และเป็นอาการปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคน

 

อาการแพ้ท้องสุดทรมานนี้ จะหายไปเมื่อไร?

ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาการแพ้ท้องที่เกิดขึ้นในคุณแม่ตั้งครรภ์นั้นทำให้การใช้ชีวิตประจำวันในช่วง 1-3 เดือนของการตั้งครรภ์นั้นมีความยากลำบาก เพราะคุณแม่จะรู้สึกเหม็นกลิ่น เวียนหัวคลื่นไส้พะอืดพะอม ซึ่งอาการแพ้ท้องที่เกิดขึ้นในอายุครรภ์ไตรมาสแรกนี้ คุณแม่จะมีอาการแพ้ท้องเบาลงและค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากอายุครรภ์ได้ 14 สัปดาห์

 

รวมอาการแพ้ท้อง ที่คุณแม่ต้องเตรียมตัวรับมือ

  1. เวียนหัว: คุณแม่จะมีอาการเวียนหัว เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและความดันในร่างกาย จึงส่งผลทำให้คุณแม่เวียนหัวขึ้นมา
  2. คลื่นไส้พะอืดพะอม อาเจียน: เป็นเพราะระดับฮอร์โมน hCG ที่สร้างขึ้นจากรกมีปริมาณสูงขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
  3. รู้สึกเหนื่อยง่าย ง่วงนอน: เป็นเพราะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในร่างกายที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจ ปอด และไต มีการทำงานหนักมากขึ้น เพื่อช่วยปกป้องดูแลตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์ให้มีความสมบูรณ์
  4. หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน: เป็นเพราะความไม่สมดุลของระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในร่างกาย
  5. ไวต่อกลิ่น: เป็นเพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น
  6. เบื่ออาหาร: คุณแม่ยังคงรับประทานอาหารได้ แต่ทานได้น้อยลง เนื่องจากเริ่มเหม็นกลิ่นอาหาร
  7. อยากรับประทานอาหารเมนูแปลกใหม่ ที่ปกติไม่ได้ชอบทาน: คุณแม่จะมีอาการอยากอาหารที่เปลี่ยนไป อะไรที่ไม่ชอบกินก็จะอยากกิน เช่น อยากอาหารที่มีรสชาติเปรี้ยว เป็นต้น

 

อาการแพ้ท้อง แบ่งเป็น 3 ระดับ

อาการแพ้ท้อง (Morning sickness) จะแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ เพื่อให้คุณแม่สังเกตตัวเองเมื่อมีอาการแพ้ท้องขึ้นมา

1. มีอาการไม่หนัก

คุณแม่ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ ถึงแม้ว่าจะมีอาการคลื่นไส้เวียนหัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่มาก บางครั้งมีการอาเจียนร่วมด้วยแต่ไม่รุนแรง และคุณแม่สามารถรับประทานอาหารได้

 

2. มีอาการแพ้ท้องระดับปานกลาง

คุณแม่รู้สึกไม่สบายตัวมาก ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ นอนพักผ่อนตื่นขึ้นมาก็ยังไม่ดีขึ้นจากอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไม่รู้สึกอยากดื่มน้ำและรับประทานอาหารไม่ได้ แนะนำว่าให้สังเกตดูสีปัสสาวะหากมีสีเข้มมาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

3. มีอาการแพ้ท้องรุนแรงระดับ HG

เป็นอาการแพ้ท้องขั้นสูงสุดที่ทางการแพทย์จัดให้อยู่ในระดับ Hyperemesis Gravidarum (HG) คุณแม่จะไม่สามารถดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารได้ และมีการอาเจียนตลอดเวลาจนทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำและสารอาหาร หากคุณแม่พบว่าตัวเองมีอาการแพ้ท้องในระดับ HG ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

ใครบ้างที่เสี่ยงมีอาการแพ้ท้องระดับ 3

  • มีประวัติทางสุขภาพของตั้งครรภ์ มีภาวะของไมเกรน
  • มีประวัติทางสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ เช่น เมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน
  • มีประวัติมีอาการแพ้ท้องรุนแรงในการตั้งครรภ์ครั้งก่อน
  • มีประวัติคนในครอบครัวตั้งครรภ์มีอาการแพ้ท้อง

 

วิธีบรรเทาอาการแพ้ท้องสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

อาการแพ้ท้องเกิดขึ้นได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ดังนั้นเพื่อให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายและบรรเทาลงจากอาการแพ้ท้องสามารถปฏิบัติตามได้ดังนี้

  • ช่วงเช้า: หลังตื่นนอนตอนเช้า ไม่ควรปล่อยให้ท้องว่าง แนะนำให้กินเป็นแครกเกอร์ ขนมปังปิ้งกรอบ ๆ (ไม่ต้องทาเนย หรือแยม) หรือกินเป็นพวกซีเรียล เป็นต้น
  • ช่วงระหว่างวัน: จิบเครื่องสุขภาพก่อนหรือหลังอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง และไม่ควรนอนงีบหลับหลังจากอิ่มมื้อกลางวัน เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการเวียนหัวคลื่นไส้พะอืดพะอม
  • ช่วงเย็น: รับประทานอาหารสำหรับคนท้อง ที่รสชาติไม่จัด หลีกเลี่ยงอาหารกลิ่นแรง กลิ่นฉุน อาหารมัน ๆ เลี่ยน ๆ เพื่อจะได้ไม่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน แพ้ท้องขึ้น

 

วิธีป้องกันคุณแม่แพ้ท้องคลื่นไส้พะอืดพะอม

  1. จิบน้ำอุ่นระหว่างวัน
  2. ดื่มน้ำขิงเป็นประจำ
  3. ทานผลไม้สด หรือดื่มน้ำผลไม้ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว
  4. นั่งสมาธิ เพื่อช่วยปรับสมดุลภายในร่างกาย
  5. ออกกำลังกายด้วยการเดินช้า ๆ จะช่วยคลายจากอาการจุกเสียด เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น
  6. รับประทานวิตามินและยาบำรุงครรภ์ตามที่แพทย์จัดให้
  7. บูสต์ร่างกายจากความอ่อนเพลียที่เกิดจากอาการแพ้ท้อง ด้วยการนอนหลับพักผ่อน และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี มีความสะอาดสดชื่น

 

ช่วงอายุครรภ์ 1-3 เดือนแรกเป็นช่วงเวลาที่ตัวอ่อนกำลังก่อร่างและสร้างอวัยวะต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ คุณแม่ควรรับประทานวิตามินและยาบำรุงครรภ์ตามที่แพทย์จัดให้หลังมื้ออาหารทุกครั้ง รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีโฟลิกสูง

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

 

 

อ้างอิง:

  1. อาการแพ้ท้องกับคุณแม่ตั้งครรภ์…เรื่องกวนใจที่แก้ได้!!, โรงพยาบาลเปาโล
  2. เคล็ด(ไม่)ลับสำหรับคนอยากมีลูก, โรงพยาบาลสมิติเวช
  3. 7 อาการป่วนตอนท้อง ตอนที่ 1, คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  4. วิธีรับมืออาการแพ้ท้อง ที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้, โรงพยาบาลบางปะกอก
  5. อาการคนท้องเดือนแรก สัญญาณเริ่มต้นกำลังครรภ์, โรงพยาบาลศิครินทร์
  6. สัญญานอันตรายที่แม่ตั้งครรภ์ต้องรีบไปพบแพทย์ : พบหมอรามาฯ, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  7. อาการแพ้ท้องแบ่งเป็น 3 ระดับ, โรงพยาบาลเปาโล
  8. สูติศาสตร์ล้านนา, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อ้างอิง ณ วันที่ 5 มกราคม 2567

บทความแนะนำ

อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 3 โภชนาการสำคัญสำหรับคุณแม่และลูกน้อย

อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 3 โภชนาการสำคัญสำหรับคุณแม่และลูกน้อย

อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 3 คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินอะไรให้ลูกแข็งแรงและมีโภชนาการที่ดี อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 3 มีเมนูไหนเหมาะกับคุณแม่ท้องบ้าง ไปดูกัน

อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 2 โภชนาการสำคัญสำหรับคุณแม่และลูกน้อย

อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 2 โภชนาการสำคัญสำหรับคุณแม่และลูกน้อย

อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 2 คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินอะไรให้ลูกแข็งแรงและมีโภชนาการที่ดี อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 2 มีเมนูไหนเหมาะกับคุณแม่ท้องบ้าง ไปดูกัน 

อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 1 อาหารคนท้องอ่อน สำหรับคุณแม่และลูกน้อย

อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 1 อาหารคนท้องอ่อน สำหรับคุณแม่และลูกน้อย

อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 1 อาหารคนท้องอ่อน คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินอะไรให้ลูกแข็งแรงและมีโภชนาการที่ดี ไปดูเมนูอาหารคนท้องไตรมาสแรกสำหรับคุณแม่กัน

ผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที พร้อมข้อดี-ข้อเสีย คลอดเองกับผ่าคลอด

ผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที ผ่าคลอดนานไหม พร้อมขั้นตอนการผ่าคลอด

ผ่าคลอดใช้เวลากี่นาที ผ่าคลอดนานไหม การผ่าคลอดมีกี่แบบ คุณแม่มือใหม่ควรผ่าคลอดหรือคลอดธรรชาติ ไปดูข้อควรรู้เกี่ยวกับการผ่าคลอดที่คุณแม่ควรรู้กัน

เลือกระยะการตั้งครรภ์และพัฒนาการเด็ก