ผื่นลมพิษในเด็ก เกิดจากอะไร ทำไมพ่อแม่ยุคใหม่ ควรใส่ใจเป็นพิเศษ

ผื่นลมพิษในเด็ก เกิดจากอะไร พร้อมวิธีป้องกันลมพิษในเด็ก

09.05.2024

หากลูกน้อยมีผื่นแดงนูนขึ้นตามร่างกาย อาจเป็นผื่นลมพิษในเด็ก บทความนี้ขอเชิญคุณพ่อคุณแม่มาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ และวิธีการดูแลโรคลมพิษเบื้องต้น พร้อมจับสัญญาณเตือนว่า เด็กเป็นลมพิษแบบไหน ที่ต้องพบแพทย์โดยด่วน

headphones

PLAYING: ผื่นลมพิษในเด็ก เกิดจากอะไร พร้อมวิธีป้องกันลมพิษในเด็ก

อ่าน 7 นาที

 

สรุป

  • ลมพิษ (Hives หรือ Urticaria) คือ โรคทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกวัย เกิดเป็นผื่นแดง บวม นูน และคันบนผิวหนังตามร่างกาย ก่อให้เกิดความไม่สบายตัวและรำคาญ โดยลมพิษนั้นเกิดได้หลายสาเหตุ แต่ลมพิษในเด็กส่วนใหญ่มักเกิดจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ทำให้เด็กที่เป็นภูมิแพ้อยู่แล้วเสี่ยงต่อการเกิดลมพิษมากกว่าเด็กปกติ
  • เด็กเป็นลมพิษ มักจะมีผื่นแดง คัน บวม นูน เกิดจากการแพ้อาหาร ยา หรือการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียก็ได้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาแก้แพ้ทุกครั้ง และ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ดูแลผิวให้ชุ่มชื้น ปรึกษาแพทย์
  • การดูแลเด็กเป็นลมพิษ คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และนอกจากนี้คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาแก้คันทุกครั้ง/ยาแก้คัน ประคบเย็น อาบน้ำเย็น ใส่เสื้อผ้าระบายอากาศ ตัดเล็บ ห้ามเกา
  • การป้องกันเด็กเป็นลมพิษ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทานอาหารดี ออกกำลังกาย พักผ่อนและสังเกตอาการแพ้ หากมีอาการรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

ลมพิษในเด็ก คืออะไร?

โรคลมพิษ (Hives หรือ Urticaria) คือโรคทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกวัย โดยเกิดผื่นแดง บวม นูน และคันขึ้นมาบนผิวหนังตามร่างกาย ก่อให้เกิดความไม่สบายตัวและรำคาญได้ โดยลมพิษนั้นเกิดได้หลายสาเหตุ แต่ลมพิษในเด็กส่วนใหญ่มักเกิดจากการแพ้อาหาร ยา การติดเชื้อทั้งไวรัสและแบคทีเรีย รวมถึงการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้

 

อาการผื่นลมพิษในเด็ก มีลักษณะอย่างไร

อาการลมพิษในเด็กมีความคล้ายคลึงกับลมพิษในผู้ใหญ่ คือมีผื่นขึ้นเป็นกลุ่ม ตามบริเวณต่าง ๆ เช่น แผ่นหลัง หน้า แขน ขา หรือลำคอ ลักษณะผื่นนูน แดง บวม มองเห็นขอบเขตได้ชัดเจน ผื่นที่ขึ้นมักทำให้เกิดอาการคัน จึงอาจทำให้เด็กไม่สบายตัวและร้องไห้งอแงได้ โดยผื่นลมพิษในเด็กมักจะเป็นและหายภายได้เองใน 24 ชั่วโมงและอาจมีการย้ายไปขึ้นที่ใหม่อีก มักเป็นอยู่ 1-2 วัน แต่ในบางกรณีก็อาจนานกว่านั้น เราจึงสามารถแบ่งโรคลมพิษในเด็กตามระยะเวลาของโรคได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้

  1. ลมพิษแบบเฉียบพลัน (acute urticaria) ผื่นลมพิษชนิดนี้เมื่อเป็นแล้วจะหายได้ภายในเวลา 3-6 สัปดาห์ เป็นผื่นลมพิษในเด็กและผู้ใหญ่ที่พบได้ทั่วไปกว่า 15-20% ของประชากร ส่วนมากเกิดจากการได้รับสารก่อภูมิแพ้หรือสารกระตุ้น เช่น แพ้อาหาร ยา ฝุ่น เกสรดอกไม้ หรือการติดเชื้อ เป็นต้น
  2. ลมพิษแบบเรื้อรัง (chronic urticaria) ผื่นลมพิษชนิดนี้เมื่อเป็นแล้วจะเกิดขึ้นซ้ำอีกอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง และเป็นติดต่อกันนานเกิน 6 สัปดาห์ บางรายอาจใช้ระยะเวลารักษาหลายปี แต่พบในเด็กได้น้อยมากและมักไม่ทราบสาเหตุ

 

เด็กเป็นลมพิษ เกิดได้จากสาเหตุอะไรบ้าง

ลมพิษในเด็กมักเกี่ยวข้องกับอาการแพ้ โดยมีสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ได้แก่

  • ทารกแพ้อาหาร เช่น นม ไข่ ถั่วเหลือง แป้งสาลี อาหารทะเล และวัตถุเจือปนในอาหาร
  • ยา (แพ้ยา) เช่น ยาเพนิซิลลิน ยาแอสไพริน ยาลดไข้สูง
  • เกสรดอกไม้
  • สัตว์และแมลงกัดต่อย

 

นอกจากนั้นยังในบางกรณี ลมพิษในเด็กยังเกิดขึ้นได้โดยไม่เกี่ยวกับภูมิแพ้ มีสาเหตุ เช่น การติดเชื้อ การออกกำลังกาย ภาวะเครียด แสงอาทิตย์ สารเคมี และการกดทับผิวหนังอย่างรุนแรง

 

ลมพิษในเด็ก จะมีผื่นลักษณะแบบไหน

อาการของลมพิษในเด็ก คือจะมีผื่นนูน บวม มีสีแดง และมีอาการคัน มองเห็นขอบเขตของผื่นได้ชัดเจน มักจะเกิดอาการหายไปภายในระยะเวลา 24 - 48 ชั่วโมง หากลูกเป็นลมพิษแบบเป็น ๆ หาย ๆ นานถึง 6 สัปดาห์ อาจกลายเป็นลมพิษเรื้อรังได้

 

การวินิจฉัยและการดูแลโรคลมพิษในเด็ก ที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

การวินิจฉัยโรคลมพิษในเด็ก

หากคุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปหาหมอซึ่ง คุณหมอมักจะทราบว่านี่คือลมพิษในเด็กตั้งแต่เมื่อเห็นลักษณะของผื่น แต่ในการที่จะหาว่าอะไรคือสาเหตุหรือสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการนั้น ต้องอาศัยการซักประวัติของลูกน้อยเพิ่มเติม เช่น โรคประจำตัว ยาที่ใช้ การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ กิจกรรมที่ทำ เป็นต้น 


นอกจากนั้น ในบางกรณีคุณหมออาจให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยจดรายการอาหารที่กิน กิจวัตรประจำวันที่ทำ หรือข้อมูลอื่น ๆ ของลูกน้อยที่อาจเชื่อมโยงกับการเกิดลมพิษได้ และอาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด หรือ ทดสอบภูมิแพ้ เพิ่มเติมด้วย

 

วิธีการดูแลโรคลมพิษในเด็ก

วิธีดูแลโรคลมพิษในเด็กแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค อายุ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย บางกรณีผื่นลมพิษในเด็กอาจหายได้เองโดยไม่ต้องพึ่งยา โดยหนึ่งในขั้นตอนการดูแล ที่สำคัญที่สุดคือการให้ลูกน้อยหลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องสงสัย ลดการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งกระตุ้น และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง

 

นอกจากนั้น พยายามอย่าให้ลูกน้อยเกาหรือสัมผัสบริเวณที่เป็นผื่นลมพิษบ่อย ๆ เนื่องจากอาจทำให้ผิวหนังอักเสบได้ และพยายามปลอบลูกน้อยให้ไม่เครียดและวิตกกังวล เพราะความเครียดอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นอาการลมพิษในเด็กได้เช่นกัน

 

ลมพิษในเด็กแบบไหน ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน

โดยทั่วไปอาการของโรคลมพิษมักไม่อันตราย มักจะหายภายใน 24 ชั่วโมง แต่หากมีอาการรุนแรงขึ้น ควรพาลูกน้อยไปหาคุณหมอ นอกจากนั้นลมพิษในเด็กยังเป็นหนึ่งในสัญญาณของภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (Anaphylaxis) ซึ่งอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นหากพบว่าเด็กที่เป็นลมพิษมีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วยต้องรีบนำไปพบแพทย์ทันที

  • หายใจลำบาก แน่นหน้าอก
  • เกิดการบวมที่หน้า ตา ปาก ลิ้น คอ
  • ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
  • หายใจมีเสียงหวีด รู้สึกเหมือนมีสิ่งอุดตันในลำคอ กลืนลำบาก
  • ชีพจรอ่อน หัวใจเต้นเร็ว
  • ไอ จาม น้ำมูกไหล

 

อาการผื่นลมพิษในเด็ก ป้องกันได้อย่างไร

วิธีป้องกันเมื่อเด็กเป็นลมพิษที่สำคัญที่สุดคือการให้ลูกน้อยอยู่ห่างไกลจากปัจจัยกระตุ้นหรือสารก่อภูมิแพ้ในเด็ก รอบตัว โดยเฉพาะอาหาร ยา หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ และสอนให้ลูกน้อยรู้จักหลีกเลียงสิ่งกระตุ้นนั้น ๆ ด้วยตนเอง นอกจากนั้นอย่าลืมรักษาสุขภาพของลูกน้อยให้แข็งแรง เพื่อเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นภูมิแพ้หรือมีความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว

 

การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ลูกน้อยเริ่มต้นได้ตั้งแต่แรกเกิดผ่านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยนมแม่นั้นมีคุณสมบัติ Hypo-Allergenic (H.A.) ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภูมิแพ้ในเด็กได้ นอกจากนั้นยังประกอบไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด และโปรตีนในนมแม่บางส่วน ได้ถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลง หรือที่เรียกว่า PHP (Partially Hydrolyzed Proteins ) ซึ่งง่ายต่อการดูดซึมเข้าร่างกายของลูกน้อย อีกทั้งนมแม่ยังมีพรีไบโอติกโอลิโกแซคคาไรด์ใยอาหารหลักที่สำคัญ ที่ช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อต่าง ๆ ซึ่งโอลิโกแซคคาไรด์ ประกอบด้วยใยอาหารหลากหลายชนิด ซึ่ง 5 ใยอาหารหลัก (5 Oligosaccharide หรือ 5 HMO เช่น 2’FL , DFL, LNT, 6’SL และ 3’SL ) มีช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อต่าง ๆ เราจึงสนับสนุนให้ทารกได้รับนมแม่อย่างเดียว ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน และควรกินต่อเนื่องไปจนลูกอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น ควบคู่กับอาหารตามวัยที่เหมาะสม

 

หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการทราบว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงต่อการเป็นลมพิษจากภูมิแพ้หรือไม่สามารถตรวจสอบความเสี่ยงภูมิแพ้เบื้องต้นได้ที่ S-MomClub

 

บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่

 


อ้างอิง:

  1. What Are Hives?, kidshealth
  2. โรคลมพิษ!, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  3. ‘โรคลมพิษ’ ผื่นแดงบนผิวหนังที่ไม่ควรมองข้าม, โรงพยาบาลศิครินทร์
  4. ภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิต, โรงพยาบาลกรุงเทพ
  5. โรคผื่นแพ้ผิวหนังในเด็ก, โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์
  6. โรค “ลมพิษ” สาเหตุและอาการที่ไม่ควรมองข้าม, โรงพยาบาลพญาไท
  7. โรคลมพิษ, สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

อ้างอิง ณ วันที่ 2 มีนาคม 2567
 

บทความแนะนำ

คุณแม่ผ่าคลอดกี่วันขับรถได้ หลังผ่าตัดขับรถได้ไหม อันตรายหรือเปล่า

คุณแม่ผ่าคลอดกี่วันขับรถได้ หลังผ่าตัดขับรถได้ไหม อันตรายหรือเปล่า

คุณแม่ผ่าคลอดกี่วันขับรถได้ หลังผ่าคลอดเริ่มขับรถได้เลยไหม ถ้าเริ่มขับทันทีหลังคลอด จะอันตรายกับคุณแม่ผ่าคลอดแค่ไหน หากคุณแม่ต้องขับรถ ไปดูกัน

ผ่าคลอดเบ่งอุจจาระได้ไหม ท้องผูกหลังผ่าคลอด คุณแม่ทำยังไงดี

ผ่าคลอดเบ่งอุจจาระได้ไหม ท้องผูกหลังผ่าคลอด คุณแม่ทำยังไงดี

คุณแม่ผ่าคลอดเบ่งอุจจาระได้ไหม หลังผ่าคลอดคุณแม่มีอาการท้องผูกหลังผ่าคลอด เกิดจากอะไร ท้องผูกบ่อยอันตรายไหมสำหรับแม่ผ่าคลอดที่มีอาการท้องผูก

คุณแม่ผ่าคลอดห้ามยกของหนักกี่เดือน ผ่าคลอดยกของหนักได้ตอนไหน

คุณแม่ผ่าคลอดห้ามยกของหนักกี่เดือน ผ่าคลอดยกของหนักได้ตอนไหน

ผ่าคลอดห้ามยกของหนักกี่เดือน คุณแม่ผ่าคลอดยกของหนักได้ตอนไหน หากคุณแม่ยังไม่หายดีและยกของหนักทันที แบบนี้อันตรายกับคุณแม่ผ่าคลอดหรือเปล่า

ท่านอนหลังผ่าคลอด ท่านอนคนผ่าคลอด คุณแม่นอนแบบไหนถึงดีที่สุด

ท่านอนหลังผ่าคลอด ท่านอนคนผ่าคลอด คุณแม่นอนแบบไหนถึงดีที่สุด

ท่านอนหลังผ่าคลอด คุณแม่ผ่าคลอดควรนอนท่าไหน ท่านอนแบบไหนนอนแล้วไม่เจ็บแผลผ่าคลอดและเหมาะกับแม่ผ่าคลอดที่สุด ไปดูท่านอนหลังผ่าคลอดกัน

เลือกระยะการตั้งครรภ์และพัฒนาการเด็ก