เด็กสำลักน้ำคร่ำ เกิดจากอะไร ทารกกลืนน้ำคร่ำ อันตรายไหม
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่คุณแม่หลายท่านก็อาจกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของลูกน้อยในครรภ์ หนึ่งในเรื่องที่มักเป็นที่สงสัยคือ ภาวะทารกกลืนน้ำคร่ำ จนเกิดข้อสงสัยว่า ทารกกลืนน้ำคร่ำอันตรายไหม เด็กสำลักน้ำคร่ำ เกิดจากอะไร และป้องกันได้หรือไม่ บทความนี้จะพาคุณแม่ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้ เพื่อให้ตลอดการตั้งครรภ์มีความปลอดภัยทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์
สรุป
- ทารกกลืนน้ำคร่ำอันตรายไหม หากทารกมีการสูดสำลักเอาน้ำคร่ำที่มีขี้เทาปนเข้าไปในหลอดลมหรือปอด จะเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ เพราะจะทำให้ทารกหายใจลำบาก ทำให้เกิดลมรั่วในปอด จนทำให้ร่างกายของทารกเกิดขาดออกซิเจน
- เด็กสำลักน้ำคร่ำ หนึ่งสาเหตุมาจากคุณแม่มีภาวะรกเกาะต่ำหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด ส่งผลให้มีเลือดออกในช่องคลอดจำนวนมาก ทำให้เลือดที่ส่งผ่านไปยังรกให้ทารกมีปริมาณน้อยลง
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- เด็กสำลักน้ำคร่ำ คืออะไร
- ทารกกลืนน้ำคร่ำ อันตรายไหม
- อาการที่อาจเกิดขึ้น หากเด็กสำลักน้ำคร่ำ
- วิธีป้องกันภาวะเด็กสำลักน้ำคร่ำ
ทารกกลืนน้ำคร่ำ อันตรายไหม โดยปกติขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์จะมีการกลืนน้ำคร่ำ และน้ำคร่ำจะช่วยให้ปอด และระบบทางเดินอาหารพัฒนาเจริญเติบโต แต่ถ้าในน้ำคร่ำมีขี้เทาปนอยู่ อาจทำให้ทารกสูดสำลักขี้เทาได้ ซึ่งอาจไม่มีอาการใดๆ จนกระทั่ง ส่งผลต่อชีวิตได้
เด็กสำลักน้ำคร่ำ คืออะไร
เด็กสำลักน้ำคร่ำ คือภาวะที่ทารกในครรภ์หรือขณะคลอด มีการสูดสำลักหรือหายใจเอาขี้เทา (meconium) ที่อยู่ในน้ำคร่ำเข้าไปในหลอดลมหรือปอด ทั้งนี้การที่เด็กสำลักน้ำคร่ำสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์คุณแม่ หรือไม่ก็อาจเกิดขึ้นขณะคลอด ทารกกลืนน้ำคร่ำอันตรายไหม ทารกที่มีการสูดสำลักเอาน้ำคร่ำที่มีขี้เทาปนเข้าไปในหลอดลมหรือปอด อาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ เพราะจะทำให้ทารกหายใจลำบาก ขี้เทาที่หลุดเข้าไปในถุงลมปอด จะทำให้ถุงลมปอดเกิดการแฟบสลับกับโป่งพอง ทำให้เกิดลมรั่วในปอด จนทำให้ร่างกายของทารกเกิดขาดออกซิเจน
ทารกกลืนน้ำคร่ำ อันตรายไหม
เด็กสำลักน้ำคร่ำ หรือภาวะสูดสำลักขี้เทา เกิดจากทารกในครรภ์มีการถ่ายขี้เทาออกมาก่อนกำหนด โดยมักเกิดจาก เลือดที่ส่งไปเลี้ยงทารกไม่พอ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากโรคประจำตัวของคุณแม่ที่แทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์
1. อายุครรภ์มาก
คุณแม่มีอายุครรภ์มากกว่า 42 สัปดาห์ และมีอาการของรกเสื่อมสภาพ
2. ภาวะความดันโลหิตสูง
คุณแม่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ส่งผลต่อปริมาณเลือดที่ส่งผ่านไปยังรกให้ทารกน้อยลง
3. ภาวะรกเกาะต่ำ
คุณแม่มีภาวะรกเกาะต่ำหรือรกลอกตัวก่อนกำหนด ส่งผลให้มีเลือดออกในช่องคลอดจำนวนมาก ทำให้ปริมาณเลือดที่ส่งผ่านไปยังรกให้ทารกน้อยลง
4. ภาวะน้ำคร่ำน้อย
ทำให้ทารกในครรภ์มีการเคลื่อนไหวได้น้อยลง และเกิดภาวะสายสะดือถูกกด
5. ภาวะถุงน้ำคร่ำอักเสบ
มาจากการก่อนคลอดเกิดการรั่วของน้ำคร่ำนานกว่า 18 ชั่วโมง หรือในคุณแม่ที่มีประวัติใช้สารเสพติด ส่งผลให้มดลูกหดรัดตัว และทำให้ทารกในครรภ์ได้รับออกซิเจนน้อยลง
อาการ ที่อาจ เกิดขึ้น หากเด็กสำลักน้ำคร่ำ
น้ำคร่ำที่ห่อหุ้มทารก มีหน้าที่สำคัญในการปกป้องทารกจากการกระทบกระเทือน ช่วยป้องกันทารกถูกกดทับจากสายสะดือ เป็นต้น แต่ถึงแม้ว่าน้ำคร่ำจะมีประโยชน์มากมาย แต่การที่ทารกกลืนน้ำคร่ำเข้าไปในปอด ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน เด็กสำลักน้ำคร่ำจะมีอาการที่อาจเกิดขึ้นในช่วงแรกเกิด ดังต่อไปนี้
1. หัวใจเต้น ผิดปกติ
อาจแสดงอาการผิดปกติช่วงระยะคลอด เช่น หัวใจเต้นช้าลง หรือเร็วขึ้น
2. ปอดอักเสบ
ทารกจะมีอาการเหมือนปอดอักเสบ ทำให้หายใจเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก
3. ตัวเขียว
6-12 ชั่วโมงหลังคลอด ทารกจะมีอาการตัวเขียว ตรงหน้าอกจะโป่งออก หายใจเร็ว และหายใจลำบาก
4. เลือดเป็นกรด
ใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด ทารกมีการขาดออกซิเจน การหายใจล้มเหลว มีภาวะเลือดเป็นกรด และน้ำตาลในเลือดต่ำ กรณีนี้มักเกิดในรายที่มีอาการรุนแรงมาก
วิธีป้องกันภาวะเด็กสำลักน้ำคร่ำ
ถึงแม้จะไม่มีวิธีป้องกันภาวะเด็กสำลักน้ำคร่ำที่ชัดเจน แต่ในเบื้องต้นสามารถให้การดูแลทารกในครรภ์ ที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกลุ่มอาการสำลักขี้เทาในระยะก่อนคลอด ได้ดังนี้
1. เฝ้าระวังภาวะครรภ์เสี่ยง
คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะขี้เทาในน้ำคร่ำ จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ เช่น อายุครรภ์เกินกำหนดและทารกในครรภ์มีน้ำหนักน้อยกว่าอายุครรภ์
2. เฝ้าดูแลสุขภาพทารกในครรภ์
ตลอดอายุครรภ์ จะมีการเฝ้าระวังดูแลสุขภาพทารกในครรภ์อยางใกล้ชิด ด้วยการติดตามอัตราการเต้นหัวใจของทารก
การสำลักน้ำคร่ำ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ วิธีป้องกันเพื่อช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดภาวะเด็กสำลักน้ำคร่ำ แนะนำให้คุณแม่เมื่อทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ สิ่งที่ต้องทำอย่างเร็วที่สุดคือการไปพบสูติแพทย์ เพื่อรับการตรวจครรภ์สุขภาพครรภ์พร้อมกับฝากครรภ์ และมาตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ ตามที่แพทย์นัดตลอดอายุการตั้งครรภ์ 9 เดือน นอกจากนี้ระหว่างการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด และรับประทานอาหารสำหรับแม่ท้องที่มีประโยชน์ เพื่อให้ทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์มีสุขภาพที่ดี
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- Health check แบบประเมินสุขภาพของคุณแม่และพัฒนาการของลูกน้อย
- จุกหลอก ดีกับลูกน้อยจริงไหม จุกนมหลอก ข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง
- สายสะดือทารก สะดือใกล้หลุดเป็นแบบไหน พร้อมวิธีทำความสะอาด
- กลากน้ำนม เกิดจากอะไร โรคผิวหนังในเด็ก พร้อมวิธีดูแลเกลื้อนน้ำนม
- ลูกเลือดกำเดาไหลตอนกลางคืน อันตรายไหม พ่อแม่รับมืออย่างไรดี
- วิธีห่อตัวทารกที่ถูกต้อง ให้ลูกน้อยสบายตัว เหมือนอยู่ในท้องแม่
- โรคซางในเด็กเล็กมีจริงไหม เกิดจากอะไร ดูแลและป้องกันได้หรือเปล่า
- ลูกหัวแบน ทารกหัวแบน คุณแม่ทำอย่างไรได้บ้าง พร้อมวิธีแก้ไขเบื้องต้น
- วิธีบรรเทาอาการไอของลูกน้อย เมื่อลูกไอไม่หยุด พร้อมวิธีดูแลและป้องกัน
- วิธีลดไข้ทารกแรกเกิด อาการทารกเป็นไข้ ทารกตัวร้อน พร้อมวิธีวัดไข้
- นิทานเด็กทารกสำคัญกับลูกไหม คุณแม่ควรอ่านเรื่องอะไรให้ลูกน้อยฟังดี
อ้างอิง:
- น้ำคร่ำ (Amniotic fluid), คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ภาวะสูดสำลักขี้เทาในเด็กแรกเกิด ตอนที่ 1, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
- การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะกลุ่มอาการสำลักขี้เทา, โรงพยาบาลกลาง สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหา
- การพยาบาลทารกที่มีภาวะสูดสำลักขี้เทา, โรงพยาบาลสิรินธน สำนักการแพทย์
- ภาวะสูดสำลักขี้เทาในเด็กแรกเกิด ตอนที่ 2, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
- เทคนิคดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์อย่างมีสุขภาพดีทั้งแม่และทารกในครรภ์, โรงพยาบาลนครธน
อ้างอิง ณ วันที่ 22 กันยายน 2567
บทความที่เกี่ยวข้อง