
ฝากครรภ์ต้องให้สามีไปด้วยไหม ฝากครรภ์จำเป็นแค่ไหนสำหรับแม่ท้อง
คุณแม่มือใหม่เตรียมตัวไปฝากครรภ์ครั้งแรกหรือยัง? หลายคนเตรียมตัวไปพร้อมคำถามมากมายในหัวว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง? ต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ประกันสังคมครอบคลุมการฝากครรภ์ไหม และคำถามยอดฮิตที่หลายคนยังไม่แน่ใจอย่างการต้องพาสามีไปด้วยหรือเปล่า เรามีคำตอบมาบอกกันในบทความนี้
สรุป
- สามีควรไปพบคุณหมอในการฝากครรภ์ครั้งแรกด้วย เพราะอาจมีการตรวจเลือด เพื่อหาพาหะโรคทางพันธุกรรม
- ระยะเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นฝากครรภ์ คือ 1 เดือน ก่อนการตั้งครรภ์ หรือเริ่มฝากครรภ์เมื่อรู้ว่าตั้งท้อง
- ฝากครรภ์ 2 ที่ได้ โดยนำประวัติการฝากครรภ์ ผลเลือด หรือข้อมูลการอัลตราซาวด์ เข้ามาปรึกษาสถานพยาบาลที่ 2 เพื่อฝากครรภ์ต่อเนื่องได้
อ่านตามหัวข้อ
- ฝากครรภ์ต้องให้สามีไปด้วยไหม
- การฝากครรภ์สำคัญแค่ไหน สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
- คุณแม่มือใหม่ ควรเริ่มฝากครรภ์เมื่อไหร่ดี
- คุณแม่ไปฝากครรภ์ ต้องเตรียมตัวยังไง
- คุณแม่ต้องฝากครรภ์บ่อยแค่ไหน
- การฝากครรภ์ คุณแม่ต้องตรวจอะไรบ้าง
- คุณแม่ท้อง ฝากครรภ์ 2 ที่ได้ไหม
- ฝากครรภ์กับคลอดบุตร คนละที่ได้ไหม
ฝากครรภ์ต้องให้สามีไปด้วยไหม
คุณแม่มือใหม่หลายคนยังคงสงสัยประเด็นนี้ และถ้าเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวจะต้องทำอย่างไร ถ้าเป็นไปได้ เราแนะนำว่าสามีควรไปพบคุณหมอในการฝากครรภ์ครั้งแรกด้วย เพราะอาจมีการตรวจเลือด เพื่อหาพาหะโรคทางพันธุกรรม เช่น เช่น โรคธาลัสซีเมีย หูพิการแต่กำเนิด และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ส่วนในครั้งต่อ ๆ ไป คุณพ่อจะไปเป็นกำลังใจให้คุณแม่ด้วย ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่จำเป็นต้องตรวจอะไรแล้ว
การฝากครรภ์สำคัญแค่ไหน สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
การฝากครรภ์นั้นทั้งคุณแม่และเจ้าตัวเล็กในท้องจะได้รับการตรวจจากคุณหมอ พร้อมทั้งให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์อย่างถูกต้อง การปฏิบัติตัวต่าง ๆ ในช่วงตั้งครรภ์ ตลอดทั้ง 3 ไตรมาส ทั้งนี้การฝากครรภ์จะช่วยให้คุณหมอสามารถรักษาได้ทันท่วงที เมื่อเกิดความผิดปกติในระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงโรคต่าง ๆ ที่อาจจะแทรกซ้อนมาระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคเบาหวาน โรคลมชัก ครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น และที่สำคัญการฝากครรภ์จะทำให้คุณแม่สามารถรู้วันกำหนดคลอด และได้เจอเจ้าตัวเล็กในทุกครั้งที่ไปฝากครรภ์ รู้ตำแหน่งของลูกได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
คุณแม่มือใหม่ ควรเริ่มฝากครรภ์เมื่อไหร่ดี
หลายคนอาจจะคิดว่าต้องเริ่มฝากครรภ์เมื่อรู้ว่าตั้งท้อง ก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะการฝากครรภ์นั้นยิ่งเร็วจะยิ่งดี แต่รู้ไหมว่าระยะเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นฝากครรภ์ คือ 1 เดือน ก่อนการตั้งครรภ์ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่วางแผนการตั้งครรภ์ไว้ล่วงหน้าสามารถทำนัดกับคุณหมอเพื่อวางแผนการมีบุตรและทำการตรวจสุขภาพเชิงลึกก่อนการตั้งครรภ์ได้ด้วย โดยการตรวจก่อนตั้งครรภ์นี้จะทำให้คุณหมอสามารถระบุปัญหาสุขภาพของทั้งคุณพ่อคุณแม่ เช่น โรคทางกรรมพันธุ์ หรือภาวะมีบุตรยากของทั้งสองฝ่าย ได้อีกด้วย
คุณแม่ไปฝากครรภ์ ต้องเตรียมตัวยังไง
1. เตรียมเอกสาร
- บัตรประชาชนของคุณเเม่เเละคุณพ่อ เพื่อทำการเปิดประวัติที่โรงพยาบาล
- ประวัติการรักษา การเเพ้ยา โรคประจำตัว
2. เตรียมข้อมูลต่าง ๆ
- ข้อมูลเกี่ยวกับการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย กรณีเคยตั้งครรภ์มาก่อนแล้วมีประวัติก็ควรนำมาด้วย
- ข้อมูลประวัติสุขภาพ ทั้งของคุณพ่อและคุณแม่ รวมถึงคนในครอบครัวเดียวกัน ที่มีโรคทางกรรมพันธุ์ เช่น เบาหวาน ธาลัสซีเมีย ดาวน์ซินโดรม เป็นต้น
3. เตรียมค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์นั้นขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล และสิทธิ์ในการรักษาของคุณแม่ ซึ่งปัจจุบันคุณแม่ที่มีสิทธิ์ประกันสังคม สามารถเบิกค่าฝากครรภ์ได้ ในวงเงินรวม 1,500 บาท (5 ครั้ง) ที่จะเบิกจ่ายได้ครั้งละไม่เกิน 200-500 บาท ตามช่วงอายุครรภ์
คุณแม่ต้องฝากครรภ์บ่อยแค่ไหน
การฝากครรภ์นั้นอย่างน้อยควรไปทุกไตรมาส โดยตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก ควรได้รับการตรวจครรภ์อย่างน้อย 4 ครั้งขึ้นไป แบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้
1. ไตรมาสที่ 1
เริ่มตั้งครรภ์ถึง 14 สัปดาห์ ถ้าจะให้ดีไม่ควรเกิน 12 สัปดาห์ ช่วงนี้คุณหมอจะนัดตรวจทุก 1 เดือน
2. ไตรมาสที่ 2
อายุครรภ์ 15-28 สัปดาห์ คุณหมอจะนัดตรวจทุก 1 เดือน
3. ไตรมาสที่ 3
อายุครรภ์ 29-42 สัปดาห์ คุณหมอจะนัดตรวจทุก 2 สัปดาห์
การฝากครรภ์ คุณแม่ต้องตรวจอะไรบ้าง
1. ซักประวัติ
- ประวัติประจำเดือน วันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย ซึ่งถ้าคุณแม่มีบันทึกเรื่องนี้ไว้จะดีมาก เพราะจะได้คำนวณทั้งอายุครรภ์และกำหนดคลอดได้แม่นยำขึ้น
- ประวัติโรคประจำตัว รวมถึง ยารักษาโรคที่ใช้ประจำ และประวัติการแพ้ยา
- ประวัติการตั้งครรภ์ เช่น ผ่านการตั้งครรภ์ หรือแท้งมาหรือไม่ ผ่านการตั้งท้องแฝดไหม
- ประวัติโรคทางกรรมพันธุ์ ทั้งของคุณพ่อคุณแม่ และของบุคคลในครอบครัวเดียวกัน
- ประวัติการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้สารเสพติดของคุณแม่เอง รวมถึงบุคคลในครอบครัวเดียวกัน
2. ตรวจร่างกาย
- ชั่งน้ำหนัก เพื่อประเมินความสัมพันธ์ของน้ำหนักระหว่างคุณแม่ กับการเติบโตของลูกในครรภ์
- วัดส่วนสูง เพื่อประเมินภาวะคลอดยาก โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีส่วนสูงน้อยกว่า 140 เซนติเมตร ที่มีอุ้งเชิงกรานแคบ
3. ตรวจเลือด
เพื่อตรวจหาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด, กรุ๊ปเลือด, ตรวจพาหะโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย ไวรัสตับอักเสบบี รวมถึงโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อเอชไอวี และซิฟิลิส
4. จ่ายยาบำรุงครรภ์
ช่วงตั้งท้องไตรมาสแรกคุณแม่อาจจะรับประทานอาหารได้ไม่มาก เพราะส่วนใหญ่จะแพ้ท้องหนัก คุณหมอก็อาจจะจ่ายยาบำรุงครรภ์ เช่น กรดโฟลิก แคลเซียม และสังกะสี ให้เมื่อไปฝากครรภ์ด้วย โดยกรดโฟลิกหรือ “โฟเลต” คือวิตามินที่มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวในไขกระดูกของเจ้าตัวเล็ก บำรุงให้ลูกแข็งแรง รวมถึง แคลเซียม ที่คุณหมอมักจ่ายให้คุณแม่ที่ดื่มนมไม่ได้ กินเสริมในช่วงที่ตั้งท้อง และ สังกะสี ที่คุณหมอจะจ่ายให้กินเสริมจากมื้ออาหารประจำวัน โดยคุณแม่ควรได้รับสังกะสีประมาณ 10.6 มิลลิกรัมต่อวัน
คุณแม่ท้อง ฝากครรภ์ 2 ที่ได้ไหม
เป็นอีกปัญหายอดฮิตที่คุณแม่สงสัย เราขอบอกว่าทำได้ แม้จะไม่แนะนำนัก แต่หากจำเป็นขอให้คุณแม่นำประวัติการฝากครรภ์ ผลเลือด หรือข้อมูลการอัลตราซาวด์ เข้ามาปรึกษาสถานพยาบาลที่ 2 เพื่อฝากครรภ์ต่อเนื่อง หากไม่มีเอกสารประวัติ ก็สามารถมาปรึกษาสูตินารีแพทย์ของสถานพยาบาลที่ 2 เพื่อฝากครรภ์ต่อได้เช่นกัน
ฝากครรภ์กับคลอดบุตร คนละที่ได้ไหม
วิธีการนี้สามารถทำได้ เเนะนำให้ไปฝากครรภ์ที่ รพ.ที่เราจะไปคลอดอย่างน้อยสัก 1 ครั้ง เพื่อให้คุณหมอได้ตรวจและประเมินการคลอดก่อน โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีโรคประจำตัว หรือมีภาวะที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ถ้าหากมีเวลาเตรียมตัว ก็ควรนำเอกสารต่าง ๆ จากการฝากครรภ์ไปยังโรงพยาบาลที่จะคลอดด้วย
การฝากครรภ์เป็นสิ่งที่ “จำเป็น” สำหรับคุณแม่ทุกคน ไม่เพียงเพราะเป็นคุณแม่มือใหม่เท่านั้น เพราะการฝากครรภ์นอกจากจะเป็นการดูแลคุณแม่แล้วยังเป็นการดูแลเจ้าตัวเล็กให้แข็งแรงตลอดช่วงการตั้งครรภ์อีกด้วย ส่วนคุณพ่อนั้นจำเป็นต้องไปกับคุณแม่ในช่วงการฝากครรภ์ครั้งแรกเท่านั้นเพื่อตรวจเลือดประเมินโรคต่าง ๆ แต่หากจะไปทุกครั้งเพื่อเป็นกำลังใจให้คุณแม่ และไปเจอหน้าเจ้าตัวเล็กในท้องผ่านการอัลตราซาวด์ ด้วยก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดีเลย
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่
- Health check แบบประเมินสุขภาพของคุณแม่และพัฒนาการของลูกน้อย
- อาการมโนว่าท้อง กังวลไปเองว่าท้อง พร้อมวิธีเช็กอาการตัวเอง
- คุณแม่ปวดท้องข้างขวาจี๊ด ๆ หน่วง ๆ บอกอะไรได้บ้าง
- ขนาดหน้าท้องแต่ละเดือน พุงคนท้องแต่ละเดือน บอกอะไรได้บ้าง
- ที่ตรวจครรภ์แบบไหนดี ชุดตรวจครรภ์ ใช้งานง่าย รู้ผลเร็ว
- ภาวะครรภ์เป็นพิษ อาการครรภ์เป็นพิษเริ่มแรก อันตรายไหม
- อาการตกเลือดหลังคลอดเป็นยังไง ตกเลือดหลังคลอดอันตรายไหม
- มดลูกหย่อน อันตรายไหม พร้อมวิธีดูแลตัวเองเมื่อมดลูกต่ำ
- คนท้องเท้าบวม เพราะอะไร ปกติไหม พร้อมวิธีลดบวม
- คนท้องเท้าบวมหลังคลอด คุณแม่มือเท้าบวม รับมือยังไงดี
- อาการเจ็บท้องคลอด สัญญาณอาการใกล้คลอดที่สังเกตได้
อ้างอิง:
- ว่าที่คุณแม่มือใหม่ป้ายแดงควรรู้ ฝากครรภ์ครั้งแรก ต้องทำอะไรบ้างนะ, โรงพยาบาลนครธน
- ฝากครรภ์ ดีอย่างไรกับคุณแม่ตั้งครรภ์, โรงพยาบาลเปาโล
- ฝากครรภ์ที่ไหนดี 2567, โรงพยาบาลเพชรเวช
- ฝากครรภ์ (Antenatal care) เมื่อไหร่ดี มีกี่ครั้ง ตรวจอะไรบ้าง, โรงพยาบาลเมดพาร์ค
- 5 โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ป้องกันได้ด้วยการตรวจยีนก่อนตั้งครรภ์, โรงพยาบาลสมิติเวช
- Q&A คำถามชวนรู้ คู่การฝากครรภ์, โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9
- คุณแม่ตั้งครรภ์ มีสิทธิเบิกประกันสังคม อะไรได้บ้าง ?, โรงพยาบาลบางปะกอก 3
- ฝากครรภ์…ครั้งนี้มีประโยชน์อย่างไร, โรงพยาบาลเปาโล
- กรดโฟลิก…ทำไมจึงจำเป็นกับคุณแม่ตั้งครรภ์, โรงพยาบาลพญาไท
- โภชนาการแม่ท้องต้องรู้, โรงพยาบาลกรุงเทพ
- สังกะสี (Zinc) กับโควิด-19, โรงพยาบาลวิมุต เทพธารินทร์
- กรณีที่เราไม่ได้ฝากครรภ์ที่รพนี้ สามารถไปคลอดบุตรได้ไหมคะ แล้วควรเริ่มไปตอนใกล้คลอดประมาณกี่สัปดาห์คะ และค่าใช้จ่ายในปี63ประมาณเท่าไหร่คะ, hd
อ้างอิงเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567